บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง ปัญหาสุขภาพกับสังคมไทย
เมื่อกล่าวถึงสุขภาพ
ในปัจจุบัน ได้เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปว่า
แนวคิดหรือความเข้าใจที่ว่าคนมีสุขภาพดีคือคนที่ไม่เป็นโรคหรือปราศจากความพิการและทุพพลภาพเท่านั้นเป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากสุขภาพมีความหมายที่กว้างและลึกซึ้งกว่าที่กล่าวมาแล้วมาก มีผู้ให้คำจำกัดความของสุขภาพไว้มากมายแต่ความหมายที่ได้รับการยอมรับว่าคลอบคลุมแนวคิดที่สำคัญของคำว่า
“สุขภาพ” ไว้ชัดเจน คือคำจำกัดความที่องค์การอนามัยโลกได้ให้ไว้ว่า สุขภาพ
หมายถึง สภาวะของความสมบูรณ์ของร่างกาย จิตใจ
รวมทั้งการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี มิได้หมายถึงเพียงความปราศจากโรค
หรือปราศจากความทุพพลภาพเท่านั้น สุภาพ นั้น
จัดเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชน
การปรับปรุงส่งเสริมหรือดำรงรักษาสุขภาพก็นับเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคลที่พึงมีต่อตนเอง
การจะมีภาวะสุขภาพที่พึงปรารถนานั้นบุคคลจะต้องมีแนวคิดที่ถูกต้องและเป็นระบบในเรื่องสุขภาพเป็นพื้นฐาน
เนื่องจากแนวคิดดังกล่าวจะนำไปสู่การมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง
ซึ่งเปรียบเสมือนกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ภาวะสุขภาพที่พึงปรารถนา
ปัญหาสุขภาพเป็นผลที่เกิดจากปัญหาสังคม
สิ่งแวดล้อม พันธุกรรมและการมีพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เนื่องจากการขาดความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องทางด้านสุขภาพ
และสวัสดิการ อีกทั้งยังคงมีความเชื่อ ค่านิยม และทัศนะคติที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์
ปัญหาเหล่านี้เมื่อรวมกับภาวะทางเศรษฐกิจที่บีบบังคับมากขึ้น
และการหลั่งไหลถ่ายเท่ของผู้คนในยุคโลกาภิวัฒน์ ทำให้ภาวะเสี่ยงต่างๆทางสุขภาพและสวัสดิภาพของบุคคลเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
ดังนั้น
การเข้าใจถึงภาวะเสี่ยงทางด้านสุขภาพอย่างรู้เท่าทันจะช่วยให้แต่ละบุคคลสามารถมีชีวิตได้อย่างปกติสุขมากที่สุดในโลกไร้พรมแดน
ภาวะเสี่ยงทางสุขภาพ(Health Risk) หมายถึง
โอกาสที่บุคคล ครอบครัวและชุมชน อาจจะเกิดปัญหาสุขภาพ ซึ่งได้แก่การเกิดโรค
การเจ็บป่วยและอุบัติเหตุต่างๆ (เรณุมาศ
มาอุ่น,2535)
การที่บุคคลเห็นคุณค่าของชีวิต ก็คือ
การที่บุคคลรับรู้ว่าตนยังมีความหมายต่อตนเองและสังคมแนวคิดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อบุคคลเกิดการรับรู้ต่อตนเอง
(self
– perception) เกิดการรักตัวเอง (self – love)
มีความภาคภูมิใจในความสามารถของตนเอง (self – esteem) มีความเชื่อมั่นในตนเอง
(self - confidence) รวมทั้ง
มีความเข้าใจและรู้จักตนเองในด้านอื่นๆ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นจุดที่ก่อให้เกิดการเห็นคุณค่าของชีวิตทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อมีการให้ความสำคัญกับคุณค่าชีวิตบุคคลเหล่านั้นก็จะเห็นคุณค่าของการมีภาวะสุขภาพที่ดีและมีพฤติกรรมที่เป็นไปในทิศทางของการส่งเสริมและพัฒนาสุขภาพ
แต่ในทางตรงข้ามหากบุคคลไม่เห็นคุณค่าของชีวิต
ก็จะปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปไร้อย่างจุดหมาย ขาดความสนใจตนเองท้ายที่สุดจะประสบความล้มเลวในชีวิตนอกจากนี้ยังจะเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เขาเกิดความท้อแท้หมดอาลัยในชีวิต
กลายเป็นความเครียด ท้อถอย
มองโลกในแง่ร้ายและจะเป็นสาเหตุของการนำไปสู่ความคิดที่มุ่งร้ายตนเองในที่สุด
จากองค์ประกอบ 2
ประการดังกล่าวที่มา เมื่อนำมาจัดเป็นระบบโดยนำองค์ประกอบทั้งสองมากำหนดเป็นแกนตั้งและแกนนอนลากเส้นแกนทั้งสองตัดกันที่จุดกึ่งกลางของแต่ล่ะแกน
จะเกิดเป็นมิติ(dimension)
ที่อธิบายถึงแบบแผนการดำเนินชีวิตของบุคลขึ้นได้เป็น 4 มิติ
ดังนี้
มิติที่ 1 แสดงภาวะของคนที่เห็นคุณค่าของที่ชีวิต รู้สึกว่าชีวิตของตนเองมีประโยชน์
แต่บุคคลเหล่านี้จะละเลยต่อการดุแลสุขภาพ
เขาจะรู้สึกถึงพอใจกับภาวะสุขภาพที่เป็นปกติไม่เจ็บป่วย แต่ไม่ใส่ใจในการที่จะพัฒนาปรับปรุงสุขภาพให้ดียิ่งขึ้น
บุคคลในกลุ่มนี้จึงมีโอกาสเกิดความเจ็บป่วยได้
แต่เมื่อเกิดความเจ็บป่วยคนเหล่านี้จะแสวงหาการรักษาในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นไสยศาสตร์
แพทย์แผนโบราณตลอดจนแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อให้หายจากอาการเจ็บป่วย บุคคลในกลุ่มนี้จึงต้องสูญเสียค่าใช่จ่ายสำหรับการรักษาตนเองอย่างมากในช่วงที่เจ็บป่วย
แต่เต็มใจที่จะใช้จ่ายเงินดังกล่าวเพื่อแลกกับการมีชีวิตอยู่
เนื่องจากเพราะเขายังให้ความสำคัญกับชีวิตนั่นเอง
มิติที่ 2บุคคลในกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่เห็นคุณค่าของชีวิต
ว่าชีวิตของตนเองมีคุณค่าและมีประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครัว และสังคม
รวมทั้งเห็นความสำคัญของการมีภาวะสุขภาพที่ดี
ต้องรักษาและปรับปรุงส่งเสริมสุขภาพของตนเองให้ดียิ่งขึ้น
บุคลในกลุ่มนี้จะมีพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องกล่าวคือกระทำในสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ
หลีกเลี่ยง งดเว้นการกระทำที่เสี่ยงหรืออาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ
คนกลุ่มนี้คือกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพ
เช่นมีความระมัดระวังในการบริโภคอาหาร มีการออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ
เห็นความสำคัญและหากิจกรรมผ่อนคลายความเครียด รักษาสิ่งแวดล้อม ฯลฯ
คนกลุ่มนี้จะเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าต่อสังคม
เนื่องจากเขาสามารถจะให้ความรู้ความสามารถให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมได้อย่างเต็มที่
มิติที่ 3บุคคลในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ให้ความสำคัญต่อการมีภาวะสุขภาพที่ดีมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพแต่เป็นผู้ที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตมากนัก
ด้วยเหตุนี้พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพที่เกิดขึ้นจึงไม่ได้เกิดด้วยความเอาใจใส่และปฏิบัติด้วยความจริงจัง
แต่กิจกรรมส่งเสริมสุขภาพของ บุคลกลุ่มนี้จะเป็นไปตามค่านิยมของกลุ่มหรือสังคม
เช่น ไปเต้นแอโรบิคเพราะเพื่อนชวน เห็นเครื่องออกกำลังกายที่เป็นที่นิยมจึงซื้อไว้แต่อาจไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร
ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงมีพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพไม่ยั่งยืนจึงมีโอกาสจะเจ็บป่วยด้วยโรคที่มีสาเหตุมาจากพฤติกรรม
แต่ด้วยแนวคิดของกลุ่มนี้ที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิตคิดว่าตนไม่มีความหมายต่อสังคม
ทำให้เขาไม่ใส่ใจในการแสวงหาการรักษาพยาบาล
ส่วนใหญ่บุคลที่อยู่ในมิตินี้จะเป็นบุคคลสูงอายุ
มิติที่ 4บุคคลในกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่ไม่เห็นคุณค่าของชีวิต
ขาดความรัก ความมั่นใจ และความภาคภูมิใจในตนเอง ขาดความหวังในชีวิต
และไม่รู้สึกว่าตนมีคุณค่าและจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นได้รวมทั้งการเป็นผู้ไม่เห็นความสำคัญของการดูแลสุขภาพอยู่แล้ว
ในที่สุดบุคคลในกลุ่มนี้จะมีความเรียดและความกดดันเข้าครอบงำจนคิดแก้ไขปัญหาชีวิตด้วยการทำร้ายตนเองหรือฆ่าตัวตาย
จึงทำให้เขาดำเนินชีวิตไปอย่างไร้ทิศทาง ขาดการวางแผนชีวิต
มีพฤติกรรมเสี่ยงนานาประการ
จากองค์ประกอบของแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการส่งเสริมสุขภาพที่ได้กล่าวมาแล้วจะเห็นได้ว่าบุคคลในมิติที่
2 จะเป็นบุคคลที่ปรารถนาของสังคมทุกสังคม
เนื่องจากเขาไม่ต้องการเป็นภาระของผู้อื่นอีกทั้งยังสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้อีกมาก
แต่จากข้อมูลเชิงประจักษ์ทั่วไปอาจกล่าวได้ว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมไทยจะเป็นบุคคลที่อยู่ในมิติที่
1
ซึ่งหากภาวะเช่นนี้ยังดำเนินต่อไปประเทศไทยคงจะต้องเพิ่มงบประมาณค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและเป็นงบประมาณจำนวนมากในแต่ละปี
เนื่องจากการก่อสร้างสถานพยาบาล การจัดหาอุปกรณ์ เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ การลงทุนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์
ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ต้นทุนที่สูงทั้งสิ้น
ซึ่งการลงทุนเช่นนี้เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้รับแล้วนับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าอย่างยิ่ง
เพราะหากประชาชนยังมีพฤติกรรมสุขภาพเช่นนี้
แม้ว่าจะได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย ก็จะเป็นการช่วยชีวิตของผู้ป่วยนั้นชั่วครั้งชั่วคราวอีกไม่นานเขาจะต้องกลับเข้าไปรับการรักษาเพราะการเจ็บป่วยด้วยโรคเดิมหรือโรคใหม่อีกเป็นจักรเช่นนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่หากประชาชนเห็นคุณค่าของการมีสุขภาพและพัฒนาส่งเสริมสุขภาพของตนเองให้ดียิ่งๆขึ้น
โดยได้รับการส่งเสริมจากรัฐตามควร ประชาชนก็จะมีภาวะสุขภาพที่ดีกว่าที่เป็นอยู่
เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของชาติและประเทศชาติก็สามารถประหยัดงบประมาณเพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศในด้านอื่นให้เจริญก้าวหน้าต่อไป
องค์การอนามัยโลกได้ให้คำจำกัดความของคำว่า
“สุขภาพ” ไว้ดังนี้ สุขภาพ หมายถึง ภาวะแห่งความสมบูรณ์ทั้งทางร่างกายและจิตใจ
รวมถึงการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมด้วยดี ทั้งนี้คำว่า
สุขภาพมิได้หมายความเฉพาะเพียงแต่การปราศจากโรคหรือความพิการเท่านั้น ส่วนคำว่า
“ผู้บริโภค” อาจสรุปได้ว่า หมายถึงผู้ที่ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการมาเพื่ออุปโภคบริโภค
ตอบสนองความต้องการของตน ทั้งนี้เป็นความต้องการทางร่างกายและเพื่อความพึงพอใจ
สุขภาพผู้บริโภคจึงเป้นกระบวนการทางการศึกษาที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีศาสตร์และศิลปะในการใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าและบริการได้อย่าง
“ประหยัด ปลอดภัย เป็นประโยชน์และเป็นธรรม” หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่
“คิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น” หรือ “ใช้เงินเป็น” ในการอุปโภคบริโภคนั่นเอง
มนุษย์ทุกคนมีฐานะเป็นผู้บริโภค
ถ้าหากพิจารณาดูบทบาทของเราแต่ล่ะคนตั้งแต่เกิดมาจนขณะนี้ก็จะพบว่า เรามีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกเศรษฐกิจแห่งการผลิตและการบริโภคตลอดเวลา
เมื่อเรายังเป็นเด็ก พ่อแม่และผู้อื่นและเป็นผู้ซื้อและจัดหาสิ่งต่างๆให้กับเรา
ต่อมาเราก็รู้จักใช้เงินไปซื้อขนมหรือสินค้าอื่นๆด้วยตนเองซึ่งมักจะเป็นการซื้อด้วยอารมณ์ตามความชอบพอและอยากได้มากกว่าการพิจารณาด้วยเหตุผล
แต่เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ มีความรอบรู้ที่เข้าใจสิ่งต่างๆมากขึ้น
ตลอดจนสินค้าและบริการที่ซื้อก็มีมูลค่ามากขึ้น
จึงทำให้หารซื้อสินค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนจากความชอบพอตามอารมณ์มาเป็นการซื้อโดยพิจารณาถึงเหตุผล
ความปลอดภัย และความคุ้มค่าประกอบการตัดสินใจ ที่สำคัญคือ
การซื้อลักษณะนี้นอกจากจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคโดยตรงแล้ว
ยังมีความหมายที่สำคัญต่อความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจของส่วนรวม กล่าวคือ
การซื้อสินค้าและบริการทำให้ระบบเศรษฐกิจทั้งการผลิตและการค้าขายดำเนินไปได้ตามปกติ
การที่ผู้บริโภคเลือกซื้อเฉพาะสินค้าและบริการที่ดีและมีประโยชน์ต่อสังคม
ให้สามารถอยู่รอดได้ก็เท่ากับ “ผู้บริโภคเป็นผู้กำกับ” (Consumer
directed) หรือเป็นผู้กำหนดว่า ผู้ผลิตควรจะผลิตสินค้าและบริการอะไร
อย่างไร ที่เป็นประโยชน์ ปลอดภัย และเป็นธรรมต่อทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ด้วยเหตุผลดังกล่าว
ผู้บริโภคจึงควรจะได้เข้าใจถึงอำนาจในการตัดสินใจซื้อของตน
และรู้จักวิธีการใช้เงินให้เกิดประโยชน์เป็นผลดีแก่ตนเองและประเทศชาติให้มากที่สุด
ในระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบเสรีนิยมโดยทั่วไป
จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจเอกชนได้แข่งขันการผลิตและบริการตอบสนองผู้บริโภคอย่างเต็มที่
แต่บ่อยครั้งที่ผู้ผลิตจำนวนมากมักจะไม่ค่อยคำนึงถึงผลประโยชน์และความปลอดภัยของผู้บริโภค
โดยการผลิตสินค้าไม่มีคุณภาพและส่งเสริมให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการที่ฟุ่มเฟื่อยเกินความจำเป็น
เช่น นาฬิกาฝังเพชร เสื้อผ้า และเครื่องใช้ราคาแพงเป็นต้น ลักษณะระบบเศรษฐกิจที่ผู้ผลิตใช้กลวิธีกำกับหรือชักนำให้ผู้บริโภคเกิดความต้องการสินค้าที่แพงเกินความจำเป็น
และที่มากเกินความต้องการ หรือที่ได้ประโยชน์ไม่คุ้มค่าที่เรียกว่า
“การบริโภคที่กำกับ” (Consumption directed) ผู้ผลิตที่ดำเนินธุรกิจลักษณะนี้ที่จะมุ่งเน้นการแข่งขันกันดึงเงินจากผู้บริโภคให้มากที่สุด
โดยมิได้คำนึงถึงประโยชน์และคุณค่าที่ผู้บริโภคจะได้รับเลย
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงต้องเป็นคนกลางที่คอยทำหน้าที่ดูแลและกำกับให้ธุรกิจแข่งขันกันเฉพาะในทางที่ดีซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค
ผู้ผลิตและระบบเศรษฐกิจของชาติส่วนรวม
โดยรัฐจะกำหนดกฎระเบียบและวางกรอบแนวทางการแข่งขันรวมทั้งควบคุมการดำเนินงาน
เพื่อมิให้มีการเอาเปรียบ เช่น
ควบคุมคุณภาพสินค้าที่อาจเป็นภัยต่อสุขภาพของผู้บริโภค ป้องกันการโกง
การรวมหัวผูกขาด ตลอดจนกระตุ้นให้มีการแข่งขันหรือการผลิตสินค้าใหม่ๆ ออกเสนอขาย
ซึ่งทำให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกมากขึ้นตามความเหมาะสม
ดังนั้นดุลยภาพการบริโภคหรือการบริโภคที่ดีจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อรัฐบาลทำหน้าที่กำหนดกฎเกณฑ์
และจำกัดบทบาทให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคสามารถประสานประโยชน์ร่วมกันได้อย่างแท้จริง
สุขภาพเป็นรากฐานที่สำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
นับตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงสิ้นอายุขัย
สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับตัวบุคคล สังคมและสิ่งแวดล้อม
หากปัจจัยดังกล่าวขาดความสมดุลก็จะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้
ในปัจจุบันเราจะเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
โดยได้รับผลกระทบจากกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทยเองทางด้านการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม การแข่งขันทางการตลาด
การสื่อสารและการคมนาคมตลอดจนการใช้เทคโนโลยีในการพัฒนา
ซึ่งทำให้วิถีการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไปเนื่องจากสภาพแวดล้อมทั้งทางด้านอากาศ
น้ำ อาหาร ประชาชนชีวิตความเป็นอยู่แออัด
รวมทั้งประชาชนมีพฤติกรรมที่เอื้อต่อการระบาดของโรคมากขึ้นทำให้สภาพปัญหาเกี่ยวกับโรคติดต่อที่ดูแนวโน้มว่าจะลดลงกลับกลายมาเป็นปัญหาอีกในระยะ
4 – 5 ปี ที่ผ่านมา
ดังเช่นการระบาดของโรคเอดส์ในปัจจุบันที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ
การระบาดของวัณโรครวมทั้งของการระบาดโรคเท้าช้างที่มีแนวโน้มจะแพร่กระจายมากขึ้นเนื่องจาการอพยพโยกย้ายของแรงงานชาวพม่าเข้ามาในประเทศไทย
เป็นต้น
สำหรับสถานการณ์ด้านโรคไม่ติดต่อในปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้นและแพร่กระจายมากขึ้น ดังจะเห็นได้ว่าอัตราการตายด้วยโรคหัวใจ
อุบัติเหตุและการเป็นพิษมะเร็ง
เป็นสาเหตุการตายมากที่สุดและรองมาตามลำดับของประเทศไทย
อีทั้งยังมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ซึ่งโรคดังกล่าวมักเป็นผลเนื่องมาจากการดำเนินชีวิตและการมีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสมชาดความสนใจและละเลยต่อการดูแลสุขภาพ
เช่น การบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย บริโภคยาสูบและสารเสพย์ติด
ขาดการพักผ่อนและมีความเครียด เป็นต้น
ซึ่งสาเหตุเหล่านี้เป็นสิ่งบั่นทอนสุขภาพและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ในอดีตการศึกษายังไม่กระจายไปไม่ทั่วถึงครอบคลุมประชากร ประชาชนยังมีความเชื่อที่ผิดในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพหลายประการ
เช่น เชื่อว่าโรคภัยไขเจ็บและอุบัติเหตุต่างๆ เกิดจากเคราะห์กรรมหรือการกระทำของภูตผีปีศาจ
ที่มีอำนาจเหนือความควบคุมจัดการของมนุษย์ แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารและการศึกษาเจริญก้าวหน้าขึ้น
ทำให้ประชาชนมีความเข้าใจและมีแนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น
เช่นตระหนักว่าทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลรักษาสุขภาพและสุขภาพเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่มิอาจหยิบยื่นให้แก่กันได้การที่มีสุขภาพดีไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเอง
แต่เกิดจากการที่บุคคลรู้จักบำรุงรักษาสุขภาพอย่างถูกต้องบนพื้นฐานหลักการทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ
สภาพปัญหาสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
คนไทยมีอายุยืนขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมาและสังคมไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแล้ว
และจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าอีกยี่สิบปีข้างหน้าเราจะมีผู้สูงอายุสูงถึงหนึ่งในสี่ของประชากร แบบแผนการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเปลี่ยนจากโรคติดต่อเป็นหลักมาเป็นโรคไม่ติดต่อ ซึ่งเกิดจากการถดถอยของสมรรถภาพการทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกายและผลสะสมของพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม
เช่น เบาหวาน/ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ มะเร็ง ฯลฯ
จากผลการสำรวจสุขภาพคนไทยโดยการตรวจร่างกาย
พบว่าประชากรไทยมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคเรื้อรัง
หรือกลุ่มที่รู้ว่าเป็นโรคเรื้อรังนั้นส่วนใหญ่ยังไม่สามารถควบคุมอาการและดูแลรักษาตนเองได้อย่างถูกต้อง
ซึ่งภาวะดังกล่าว มักนำมาซึ่งภาวะทุพพลภาพในที่สุด ทำให้มีภาวะพึ่งพิงในการดำรงชีวิต
และต้องการได้รับการดูแลจากบุคคลในครอบครัวหรือสังคมต่อไป
ภาพแสดงจำนวนปีสุขภาวะที่สูญเสียของคนไทยในปี 2547
ข้อมูลการศึกษาภาระโรคของคนไทย
พบว่าสาเหตุหลักของการสูญเสียปีสุขภาวะของคนไทยมาจากโรคไม่ติดต่อเป็นหลัก
ตามด้วยกลุ่มโรคติดต่อโดยเฉพาะโรคเอดส์ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่เกิดจากพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่เหมาะสม
และการบาดเจ็บโดยเฉพาะจากอุบัติเหตุจราจร
ปัจจัยทางสังคมนอกระบบสาธารณสุข (Social determinants of health) มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงสภาพปัญหาสุขภาพของประชากรไทย
การพัฒนาเศรษฐกิจที่ผ่านมามีผลทำให้สุขภาพคนไทยดีขึ้นจาก “การอยู่ดีกินดี” แต่ขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาตามมา เช่น ปัญหาจากมลภาวะ พฤติกรรมสุขภาพ ปัญหาสังคม
ปัญหาการกระจายรายได้อันนำไปสู่การแปลกแยกทางสังคม ( Social
exclusion) และความไม่สงบทางการเมือง
ทำให้เกิดปัญหาทั้งสุขภาพทางกายและทางจิต
การที่สังคมก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุจะมีผลให้มีค่าใช้จ่ายด้านบริการสุขภาพสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เนื่องจากค่าใช้จ่ายทางสุขภาพเพิ่มสูงขึ้นตามอายุเป็นลักษณะตัวอักษร “J” (J Curve) กล่าวคือ
ค่าใช้จ่ายสุขภาพจะสูงในช่วงวัยแรกเกิดจากนั้นจะลดต่ำที่สุดในช่วงหนุ่มสาว
จากนั้นจะกลับสูงขึ้นในวัยกลางคนและสูงที่สุดในวัยชรา
ระบบบริการสาธารณสุขไทยในปัจจุบันและปัญหา
ประเทศไทยประสบผลสำเร็จในการขยายความครอบคลุมของสถานบริการสาธาณสุข
โดยมีโครงสร้างหน่วยบริการทั้งระดับปฐมภูมิและทุติยภูมิ กระจายครอบคลุมทุกจังหวัด
และต่อมาก็มีการจัดหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแก่ประชาชนไทย
โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขที่จำเป็น
อย่างไรก็ดียังพบว่าความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขยังคงดำรงอยู่
อันเนื่องมาจาก
1. จำนวนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขไม่เพียงพอโดยเฉพาะ แพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร
พยาบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ด้านวิชาชีพอื่นๆ
ที่จำเป็นสำหรับรองรับปัญหาด้านสาธารณสุขที่ทวีจำนวนมากขึ้น เช่น นักกายภาพบำบัด
อาชีวบำบัด รวมถึงบุคลากรที่ไม่ใช่สายวิชาชีพ เช่น ผู้ช่วยผู้ดูแลผู้สูงอายุ
2. การขาดความเป็นธรรมในการกระจายของบุคลากรสาธารณสุข
รวมถึงการกระจายของโรงพยาบาลตติยภูมิชั้นสูงที่มีการกระจุกตัวบางพื้นที่ เช่น
กรุงเทพมหานคร ในขณะที่บางเขตพื้นที่ไม่มีบริการดังกล่าว
3. บริการที่จำเป็นสำหรับปัญหาสุขภาพใหม่
เช่น บริการระยะกลางและบริการระยะยาวสำหรับ ผู้มีภาวะทุพพลภาพหรือพิการ
ทั้งในชุมชนและในสถาบันยังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร
บริการฟื้นฟูสมรรถภาพทางกายทั้งชั่วคราวและถาวรเกือบทั้งหมดจำกัดอยู่ในโรงพยาบาลใหญ่
ซึ่งเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงบริการสำหรับผู้ป่วยที่มีภาวะทุพพลภาพโดยเฉพาะสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในชนบท
4. ระบบบริการปฐมภูมิขาดคุณภาพและไม่เข้มแข็ง
แม้ว่าจะมีแนวคิดในการผลักดันให้เกิดบริการปฐมภูมิซึ่งครอบคลุมบริการสาธารณสุขมูลฐานด้วย
แต่ในทางปฏิบัติยังไม่มีการดำเนินการผลักดันอย่างเป็นระบบ
สถานบริการปฐมภูมิของรัฐซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุ มีบุคลากรไม่เพียงพอ
และได้รับงบประมาณเพิ่มเติมน้อยกว่าบริการรักษาเฉพาะทางอย่างชัดเจน
ในส่วนคลินิกเอกชนเริ่มมีบางส่วนให้บริการอย่างรอบด้านตามแนวคิดบริการสาธารณสุขปฐมภูมิภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
แต่คลินิกส่วนใหญ่ยังเน้นให้บริการรักษาพยาบาลเป็นหลัก เมื่อพิจารณาจากทัศนคติของประชาชนก็พบว่า
ยังไม่เข้าใจและขาดความเชื่อมั่นต่อระบบบริการสาธารณสุขปฐมภูมิ
ซึ่งเห็นชัดเจนจากสัดส่วนการใช้บริการที่สถานีอนามัยและโรงพยาบาลชุมชนมีแนวโน้มลดลง
5. ศักยภาพของบุคลากรยังมีจำกัดในการจัดการกับปัญหาสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
มีความซับซ้อนมากขึ้นและต้องการความร่วมมือจากภาคส่วนอื่นและชุมชน
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ