บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง การเข้าสู่ประชาคมอาเซียนกับความพร้อมในการรับมือปัญหาต่างๆของไทย
เป็นที่รู้กันดีของคนไทยว่า ปีพ.ศ.2558 นั้นประเทศไทยจะทำการเปิดประชาคมอาเซียนร่วมกับอีก
9 ประเทศที่เป็นสมาชิก คือ บรูไนดารุสซาลาม
ราชอาณาจักรกัมพูชา สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐ-ประชาธิปไตยประชาชนลาว
มาเลเซีย สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐสังคมนิยม-เวียดนาม
และสหภาพพม่า ได้ร่วมลงนามปฏิญญาจะร่วมกันก่อตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี พ.ศ.2558
ซึ่งทั้ง 10 ประเทศได้วางแนวทางการก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างสมบูรณ์
คือ หนึ่งวิสัยทัศน์ หนึ่งเอกลักษณ์ หนึ่งประชาคม (One Vision , One
Identity , One Community) ซึ่งประกอบไปด้วย 3 เสาหลัก คือ หนึ่ง ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน สอง
ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และสามประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
อาเซียนจัดเป็นกลุ่มความร่วมมือของกลุ่มประเทศทางเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
บทบาททางเศรษฐกิจของอาเซียนเริ่มชัดเจนในปี พ.ศ.2535 เนื่องจากการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรือที่เรียกกันว่า
(ASEAN Free Trade Area : AFTA) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมขจัดอุปสรรคทางการค้า
ทั้งด้านภาษีและด้านอื่นๆ และเป้าหมายล่าสุดของประชาคมอาเศรษฐกิจเซียน
คือการทำให้ประเทศสมาชิกมีตลาดฐานการผลิตร่วมกัน
โดยจะเปิดเสรีทั้งการเคลื่อนย้ายสินค้า การบริการ การลงทุน
และการเคลื่อนย้ายปัจจัยการผลิต ซึ่งกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนเห็นพ้องต้องกันในการเร่งเปิดเสรีสินค้าและบริการที่สำคัญ
11 สาขา โดยแบ่งเป็นด้านสินค้า 9 สาขา
คือ สินค้าเกษตร สินค้าประมง ผลิตภัณฑ์ไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง สิ่งทอ ยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์
เทคโนโลยีสารสนเทศ และผลิตภัณฑ์สุภาพ ด้านการบริการ 2 สาขา คือ
สาขาการท่องเที่ยวและการบิน
ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียนของกลุ่มประเทศสมาชิกจะช่วยเสริมสร้างความมีเสถียรภาพทางการเมืองของภูมิภาคซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาด้านต่างๆ
ถือเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้แก่ประเทศของตน มีวัตถุประสงค์หลัก คือ หนึ่ง
เป็นการสร้างค่านิยมและแนวปฏิบัติร่วมกันของอาเซียนในด้านต่าง เช่น ค่านิยมว่าด้วยการไม่ใช่กำลังในการแก้ไขปัญหา
และการไม่ใช้อาวุธนิวเคลียร์ สอง
การเสริมสร้างขีดความสามารถของอาเซียนในการเผชิญภัยคุกคามความมั่งคงในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่บนพื้นฐานการมีความมั่นคงของมนุษย์
และสาม การให้ประชาคมอาเซียนมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและสร้างสรรค์กับประชาคมโลก
โดยให้อาเซียนมีบทบาทนำในภูมิภาค และผลลัพธ์ประการสำคัญของประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน
คือ ประเทศสมาชิกอาเซียนมีกลไกและเครื่องมือที่ครอบคลุมและมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับความมั่นคงต่างๆ
โดยจะมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธีต่อรัฐที่เป็นประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน
หรือปัญหาภัยคุกคามรูปแบบต่างๆ ซึ่งประเทศใดประเทศหนึ่งที่ประสบกับปัญหาจะไม่แก้ไขปัญหาเพียงลำพัง
เช่น การก่อการร้าย การลักลอบค้ายาเสพติดและอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆ
เป็นต้น
ประชาคมอาเซียนมุ่งหวังให้ประชาชนมีความอยู่ดีกินดี
ปราศจากโรคภัยและโรคติดต่อต่างๆ มีสิ่งแวดล้อมที่ดี
มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งเดียวกัน
โดยมีความร่วมมือเฉพาะด้านภายใต้เสาหลักด้านสังคมและวัฒนธรรม ได้แก่ เยาวชน
การศึกษาและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิทธิมนุษยชน สาธารณสุข
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สตรี แรงงาน การขจัดความยากจน สวัสดิการสังคมและการพัฒนาวัฒนธรรมและสารนิเทศ
กิจการพลเรือน การตรวจคนเข้าเมืองและกงสุล การจัดการภัยพิบัติ และยาเสพติด
อาเซียนได้จัดทำแผนงานโดยประกอบด้วยความร่วมมือใน 5 ด้าน คือ หนึ่ง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development) สอง การคุ้มครองและสวัสดิการทางสังคม (Social Welfare and Protection) สาม สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice and Rights) สี่ ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environment Sustainability) ห้า การสร้างอัตลักษณ์อาเซียน (Narrowing and Development Gap)
ประเทศไทยได้ทำการประชาสัมพันธ์ตามสื่อและสิ่งพิมพ์ต่างๆ มากมาย
นักวิชาการสาขาต่างๆ คณาอาจารย์ ฯลฯ
ก็ออกกันมาให้ความคิดเห็นและพูดถึงประเด็นปัญหาที่จะตามมาและความพร้อมของคนไทยที่จะสามารถตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด
ทุกๆ ด้านต่างออกมาให้ความคิดเห็นมีทั้งผลกระทบด้านต่างๆ ตามมาทั้งด้านดีและด้านเสีย
สื่อด้านต่างๆก็นำข่าวออกมานำเสนอให้ประชาชนได้รับรู้และเตรียมตั้งรับกับการเปลี่ยนแปลงที่จะมาถึงในเร็วๆนี้
แต่ประชาชนทั่วไปก็ใส่ใจบ้างไม่ใส่ใจบ้าง ซึ่งส่วนมากมักจะไม่ใส่ใจ เพียงแค่รู้ว่าปี
พ.ศ.2558 จะมีการเปิดประชาคมอาเซียนเท่านั้น
จึงเกิดคำถามตามมาว่า “เราคนไทยพร้อมแล้วละหรือกับการที่จะเปิดประเทศอย่างเต็มตัว ???”
เมื่อถามคนไทยว่า “คุณรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับการเปิดประชาคมอาเซียนบ้าง
?” เชื่อได้เลยว่า 90% จะตอบว่าไม่รู้
จึงมีคำถามว่า “รัฐบาลขาดการประชาสัมพันธ์ ?”
เราต่างรู้กันดีว่าทั้งภาครัฐบาลและเอกชน ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์
อินเตอร์เน็ต การเรียนการสอนในสถาบันต่างๆ ต่างก็นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับประเทศสมาชิกผลกระทบด้านต่างๆที่จะตามมา
แต่เราคนไทยก็ไม่ตื่นตัวเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัวและอีกตั้งนานกว่าจะมาถึง
จึงมีน้อยคนมากนักที่จะเตรียมตัวศึกษาเกี่ยวกับการเปิดประชาคมอาเซียนอย่างจริงจัง
มีไม่กี่คนที่จะเตรียมตั้งรับและตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
เราขาดการตื่นตัวในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา การเกษตร แรงงาน สิ่งแวดล้อม สุขภาพ ทรัพยากรการผลิต
ฯลฯ
ปัจจุบันนักศึกษาจำนวนมากที่เรียนจบมาแล้วไม่มีงานทำ
เราไม่ต้องคาดหวังถึงอนาคตข้างหน้าที่เราสามารถที่จะทำงานในต่างประเทศได้อย่างอิสระและง่ายดาย
เพราะเนื่องจากการเปิดประตูสู่อาเซียนในอีก 2 ปี ข้างหน้านี้นั้นได้จำกัดสาขาและวิชาชีพหลักเพียงแค่ 7 สาขาเท่านั้น คือ วิศวกรรม พยาบาล สถาปัตยกรรม การสำรวจ แพทย์ ทันตแพทย์
และบัญชี ซึ่งก็มีข้อจำกัดและการแข่งขันจากประเทศอื่นๆอีกมากมาย อาทิ
ข้อจำกัดด้านภาษา
ประเทศไทยได้รับการโหวตจากต่างประเทศให้เป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษได้แย่ติดอันดับ
1 ใน 5 ของโลก
จากข้อนี้ก็เห็นได้ชัดว่า เด็กไทยนั้นมีประสิทธิภาพของการใช้ภาษาที่สองในการสื่อสารนั้นน้อยมาก
ถ้าเทียบกับประเทศสมาชิกอีก 9 ประเทศ เราต้องการการเรียนรู้และพัฒนาด้านภาษาขึ้นไปอีกระดับ
แต่เด็กไทยนั้นไม่ใส่ใจในการใช้ภาษาที่สองและที่สาม และเมื่อมีใครที่ฝึกพูดหรือใช้พยายามที่จะใช้ภาษาอังกฤษในกลุ่มคนไทยด้วยกัน
เราก็มักจะมองว่าแปลกดูแตกแยก และจะไม่พูดด้วย นี่ก็ถือเป็นอีกข้อที่ทำให้การพัฒนาด้านภาษาของเด็กไทยไม่พัฒนาและถือเป็นข้อที่สำคัญเพราะถ้าเด็กไทยไม่สามารถพูดหรือใช้ภาษาที่สองหรือที่สามไม่ได้
ก็ทำให้โอกาสในการแข่งด้านตลาดแรงงานกับประเทศสมาชิกอาเซียนนั้นหมดสิทธิ เพราะกลุ่มประเทศอาเซียนใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร
แต่ประเทศไทยขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศ 1 ใน 5 ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้แย่ที่สุด โอกาสที่จะได้นั้นน้อยมาก และถ้าคิดว่าถ้าทำต่างประเทศไม่ได้ก็ทำในประเทศได้
แต่อย่าลืมว่าต่างชาติก็สามารถเข้ามาทำงาในประเทศได้ไทยอย่างอิสระเช่นเดียวกัน ดังนั้นตลาดแรงงานนั้นมีการแข่งขันที่สูงมาก
เด็กไทยควรที่จะหันมาตระหนัก และตื่นตัวที่จะเรียนรู้ภาษาที่สองและที่สามเพิ่มมากขึ้นเพื่อที่เราจะสามารถแข่งขันกับตลาดแรงงานกับประเทศสมาชิกอื่นๆได้ย่างเท่าเทียม
การศึกษาในสาขาทั้ง 7 สาขาหลักที่อาเซียนกำหนดให้เป็นสาขาและวิชาชีพหลักของประเทศไทย
ก็มีการแข่งขันกันสูงและมีผู้เรียนน้อย บวกกับการที่เราจะต้องแข่งขันจากนานาประเทศ
ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศในการเข้าทำงาน ระบบการศึกษาไทยควรจะเพิ่มประสิทธิภาพและจัดระบบการเรียนการสอนให้เข้มข้นและยกระดับมาตรฐานให้สูงขึ้น
เพื่อที่เด็กไทยจะสามารถเข้าแข่งขันกับตลาดแรงงานกับประเทศสมาชิกอื่นๆได้อย่างเท่าเทียมและมีประสิทธิภาพ
เกษตรกรภายในประเทศนั้นส่วนมากมักจะไม่ค่อยได้รับการศึกษาที่สูงมากนัก
ถึงแม้จะเข้าถึงข่าวสารการเปิดประตูสู่อาเซียนของประเทศไทย
แต่ก็น้อยคนนักที่จะรู้ถึงผลกระทบที่ตามมา
การที่อาเซียนจะรวมกันเป็นฐานการผลิตใหญ่แห่งภูมิภาคนั้น ก็ดีในด้านการต่อรองของกลุ่ม
แต่การเปิดประตูประเทศไทยสู่ประชาคมอาเซียนนั้น มีผลดีต่อชนชั้นสูงและชนชั้นกลางของสังคม
เพราะเมื่อเปิดประเทศอย่างเต็มตัว มีการค้าระหว่างประเทศที่ปลอดภาษี
ก็มีผลดีต่อคนในประเทศที่ได้ใช้ของที่มีราคาถูกก็จริง
แต่คนส่วนมากมักไม่ได้หันกลับไปมองเกษตรกรที่เป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ
เมื่อเราสามารถนำเข้าผลผลิตจากต่างชาติที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าเราเข้ามาบริโภค
แล้วเกษตรกรไทยที่ผลิตผลผลิตนั้นจะขายหรือส่งออกไปได้อย่างไร
เกษตรกรจะต้องเปลี่ยนทิศทางการปลูกพืชหันมาปลูกพืชชนิดเดียวกันทั้งประเทศอย่างนั้นหรือ
มันจะไม่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ประเทศเราอย่างนั้นหรือ เกษตรกรทั้งหลายจะต้องเปลี่ยนฐานการดำรงชีพเพื่อที่จะสามารถเลี้ยงตัวและครอบครัวได้
วิถีชีวิตเดิมๆ จะหายไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง
ขาดความมีอัตลักษณ์และตัวตนของเราอย่างสิ้นเชิง
เพราะคนเราต้องดำเนินชีวิตไปตามวิถีแห่งความอยู่รอด
รัฐบาลควรที่จะคิดวิธีตั้งรับช่วยเหลือเกษตรกรไทยในอนาคต
โดยเริ่มกำหนดนโยบายและแนวทางการเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรไทย ตั้งแต่ตอนนี้
เพราะในอนาคตเกษตรกรไทยจะได้สามารถปรับตัวและอยู่กับวิถีใหม่ได้อย่างไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง
เราจะต้องรักษาอัตลักษณ์ และวิถีเดิมวิถีไทยไว้ให้คนไทยสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงอย่าทันถ่วงที
เนื่องจากประเทศไทยนั้นมีอุตสาหกรรมมากมายและหลากหลาย
จึงเป็นที่ดึงดูดแรงงานไร้ฝีมือจากหลากหลายประเทศให้เข้ามาทำงานในประเทศไทย
ซึ่งเมื่อมีแรงงานต่างชาติเข้ามาเยอะ แรงงานในชาติก็ต้องมีการแข่งขันสูงขึ้น แรงงานภายในประเทศต้องออกนอกประเทศเพื่อไปเป็นแรงงานข้ามชาติ
โดยที่แรงงานพวกนี้จะเป็นวัยทำงานที่ทิ้งให้คนแก่และเด็กอยู่ที่ท้องถิ่น
จะทำให้เกิดปัญหาสังคมด้านอื่นๆ ตามมา หรือบางครอบครัวอาจจะย้ายไปเป็นแรงงานข้ามชาติทั้งครอบครัว
ก็จะเกิดการย้ายถิ่น ทำให้คนในชาติคนที่เป็นคนท้องถิ่นดั้งเดิมของไทยค่อยๆหายไป
รัฐบาลควรที่จะตั้งรับและสร้างนโยบายเพื่อช่วยเหลือและให้คนในชาติได้เปรียบและสามารถที่จะทำงานในประเทศของตนเองได้ต่อไป
เพื่อเป็นการรักษาคนท้องถิ่นให้อยู่คู่กับประเทศต่อไป
เพราะเมื่อมีการเข้ามาของชาวต่างชาติก็จะเกิดลูกผสมมามายอยู่แล้ว เราจึงควรตตระหนักและตั้งรับอย่างรอบคอบเพื่อที่ เราจะรักษาคนท้องถิ่นให้ได้มากที่สุด
เมื่อมีคนเข้ามาในประเทศเพิ่มมากขึ้นก็ย่อมส่งผลให้สิ่งแวดล้อมภายในประเทศนั้นเปลี่ยนแปลงซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ
เพราะเนื่องจากประเทศแต่ละประเทศมีภูมิภาคที่แตกต่างกันไป
มีวิธีการเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติแตกต่างกัน และการมีคนอาศัยอยู่เพิ่ม
ทำให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากรต่างๆ เกิดความแตกต่าง การแย่งชิง
การใช้ประโยชน์ที่แตกต่างหลากหลาย เมื่อคนเพิ่มมากขึ้นเป็นธรรมดาที่ที่พักที่อยู่อาศัยจะไม่พอ
ผลที่ตามมาคือการบุกเบิกที่ดินใหม่ ชุมชนต่างๆมีประชากรที่เพิ่มขึ้นและแออัด
เกิดการย้ายถิ่นอาศัยใหม่ คนเริ่มเบียดเบียนป่าไม้เพิ่มมากขึ้น
คนเพิ่มการกินการใช้เพิ่ม สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมอย่างมาก โดยที่เราไม่สามารถที่จะออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของประเทศเราได้มากนัก
เรื่องนี้จึงควรเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะดูแลและตั้งรับโดยเริ่มวางแผนการจัดระเบียบผังเมืองต่างๆให้พร้อมตั้งรับมือกับการเปิดประชาคมอาเซียนที่ใกล้จะถึงนี้
ยิ่งมีคนมาก โรคติดต่อก็มีมากขึ้น
เมื่อสามารถที่จะเข้าออกประเทศได้อย่างงายดายและมีอิสระเสรีแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงโรคติดต่อ
เป็นอันรู้กันว่าโรคติดต่อจะต้องตามมาและมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วและเป็นการยากที่จะสกัดกั้น
เพราะทุกคนสามารถไปอย่างอิสระ การอยู่รวมกันของคนหมู่มากเป็นแพร่ระบาดที่รวดเร็ว
และเมื่อเริ่มมีโรคติดต่อเราจะไม่สามารถตั้งรับได้ทัน
และโรงพยาบาลของประเทศไทยจะมีเพียงพอต่อการรองรับชาวต่างหรือ
เมื่อในปัจจุบันแค่เฉพาะคนไทยเองสถานบริการด้านสุขภาพก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนในชาติ
โรงพยาบาลของภาครัฐยังไม่สามารถรองรับผู้ป่วยได้หมด และบริการก็ยังไม่ดีพอ
ผู้บริการไม่เพียงพอต่อผู้ป่วย
จึงทำให้สถานพยาบาลของภาครัฐไม่เป็นที่พอใจของคนทั่วไปสักเท่าไร
และเมื่อยิ่งมีการเข้ามาของชาวต่างชาติสถานพยาบาลของประเทศไทยจะเพียงพอและทุกคนสามารถเข้าถึงได้จริงน่ะหรือ
รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรมาตั้งรับและเตรียมตัวเตรียมความพร้อมของการบริการด้านสุขภาพนี้อย่างไร
รัฐบาลควรที่จะปรับสถานบริการกับการเข้าถึงของชาวบ้านเสียก่อน
ก่อนที่เปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน เพราะเพียงแต่คนไทยเองยังไม่สามารถเข้าถึงสถานบริการสุขภาพของประเทศไทยเองได้ครบถ้วน
แล้วรัฐจะสมารถเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงให้สถานบริการของภาครัฐเพียงพอต่อความต้องการเข้าถึงของชาวต่างชาติได้หรือไม่
ทรัพยากรการผลิตของไทยในปัจจุบันนับจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นด้านพืชผลทางการเกษตร หรือในด้านอื่นๆ
เมื่อประเทศไทยเปิดประตู่ประชาคมอาเซียนแล้วฐานทรัพยากรการผลิตของเราจะต้องลดลงมาก
เนื่องจากเมื่อมีคนมาก คามต้องการพื้นฐานและความต้องการด้านต่างๆของมนุษย์ก็เริ่มมีมากขึ้น
ประเทศไทยจะสามารถรองรับปัญหาทรัพยากรการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการได้หรือไม่
ประเทศไทยต้องการเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยว เราได้สร้างสื่อต่างๆมากมายเพื่อที่จะโปรโมทการท่องเที่ยวของประเทศเราให้ชาวต่างชาติได้เข้ามาชม
และเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย
แต่ประเทศไทยมีปัญหาต่างๆมากมายซึ่งรัฐบาลไม่สามารถมองเห็น
หรือว่าเห็นแต่ไม่ใคร่ใส่ใจ ในเมื่อพูดถึงประเทศไทยในต่างชาติ ทุกชาติต่างพูดถึง “พัฒน์พงษ์”
ซึ่งเป็นสถานที่อโคจรและมีอีกหลายสิ่งอย่างที่คนไทยเรารู้ดี
เพียงแต่เราไม่พูดและแกล้งที่จะปิดหูปิดตากันไป ทั้งๆที่ประเทศไทยต่างก็นำเสนอสิ่งที่ดีสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรมไทยออกไป
แต่เมื่อมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย บรรษัทเกี่ยวกับทัวร์ทั้งหลายก็มักจะพานักท่องเที่ยวไปที่พัฒน์พงษ์
ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่รัฐบาลพยายามที่จะเข้าไปแก้ไข
และยิ่งประเทศไทยเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน
ก็ยิ่งมีการเข้ามาของแรงงานต่างชาติซึ่งแฝงมาด้วยการค้ามนุษย์และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่างๆทางเพศให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น
และก็จะมีปัญหายาเสพติด เด็กค้าประเวณีเพิ่มมากขึ้น และอีกหลากหลายปัญหาที่จะตามมา
แล้วรัฐบาลจะจัดการสิ่งต่างเหล่านี้ได้อย่างไร หรือปล่อยให้เป็นไปโดยไม่คิดที่จะแก้ไข
ความตื่นตัวรับรู้เหตุการณ์ของคนไทยและการตั้งรับกับอนาคตนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญและถูกมองข้ามไป
คนไทยส่วนมากมักจะตื่นตัวเพียงชั่วครู่แล้วทุกสิ่งก็กลับสู่ปกติ คนไทยทุกคนเห็นและได้ยินเรื่องการเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียนของไทย
โดยผ่านสื่อต่างๆมากมาย แต่คนไทยกลับไม่หวั่นวิตกกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่ช้า
ทุกคนไม่มองถึงปัญหาต่างๆที่มีอยู่ในขณะนี้และที่จะเกิดขึ้น
ถึงแม้ภาครัฐและภาคเอกชนหรือกลุ่มต่างๆออกมาบอกและวิจารณ์อย่างไรก็ไม่ได้แสดงถึงความจริงที่จะเกิดขึ้นจริงทั้งหมดให้ทุกคนรับรู้
ส่วนมากก็จะมองและออกมาบอกในผลดี ในแง่ดี
ถึงแม้มีการบอกถึงผลกระทบด้านลบแต่ก็มีไม่มากนัก
เมื่อหลายฝ่ายไม่เดือดร้อนต่อการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก
เพราะเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนจริงๆคนที่เดือดร้อนมากที่สุดคือคนที่เป็นรากหญ้า
เป็นเกษตรกร เป็นรากฐานเศรษฐกิจของประเทศ แต่พวกเขาเหล่านั้นกลับไม่รู้ข้อมูล
ไม่รับรู้การเปลี่ยนแปลง ไม่มีโอกาสที่จะตั้งรับและพัฒนา ไม่มีฝ่ายไหนที่จะเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกรให้เรียนรู้และเข้าถึงปัญหาที่จะเกิดต่อตัวเกษตรกรเองก่อนที่จะเปิดประตู่สู่ประชาคมอาเซียนอย่างจริงจัง
มีการประชุมกันของกระทรวง มีข้อคิดเห็นข้อวิพากษ์มากมาย แต่จะมีสักเท่าไร
จะมีสักกี่คนที่จะประกาศและเข้าไปคุยให้ชาวบ้านเห็นความจริง
รู้เรื่องรู้ปัญหาที่พวกเขาจะต้องพบเจอ
แล้วปัจจุบันมีใครออกมาวางแผนคิดนโยบายตั้งรับแล้วหรือไม่ มีใครหาแนวทางให้ชาวบ้านสามารถที่จะปฏิบัติโดยนำวิถีเดิมมาประยุกต์ต่อวิถีใหม่ให้ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่เสียตัวตนของตัวเองไปเมื่อมีการเปิดประตูสู่อาเซียนหรือไม่
พวกชนชั้นสูงและชนชั้นกลางส่วนมากก็สามารถที่จะมีวิธีและหาทางเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว
เพราะมีต้นทุนหลายๆทุนและสามารถที่จะออกไปทำงานต่างประเทศได้ แต่กลับกันกับชาวบ้านทั่วไปที่มีทุนน้อยมากนัก
ความส่วนมากรู้ก็เพียงประถมศึกษาอยู่มากับภูมิปัญญาดั้งเดิมบ้างสมัยใหม่บ้าง
และเมื่อเขาไม่รู้ถึงผลกระทบที่จะมากับการเปิดประชาคมอาเซียน พวกชาวบ้านจะตั้งรับอย่างไร
จะเอาอะไรไปแข่งขันกับประเทศสมาชิกอื่นๆ
ฐานการดำรงชีพของชาวบ้านก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป
จากการผลิตเพื่อยังชีพผสมผสานกับการผลิตเพื่อการค้ากลับต้องเปลี่ยนฐานการดำรงชีพไปเป็นการผลิตเพื่อการค้าเพียงรูปแบบเดียวเท่านั้น
แล้วค่าครองชีพที่สูงขึ้น การแย่งชิงทรัพยากร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรคต่างๆ
ก็มีเพิ่มมากขึ้นแล้วชาวบ้านยังจะสามารถดำรงชีพอยู่ได้หรือไม่
เมื่อมีการปรับตัวการปรับวิถีการดำเนินชีวิต ก็เกิดปัจจัยเสี่ยงในด้านต่างๆ
แล้วชาวบ้านจะอยู่ได้อย่างไร ชาวบ้านกับเกษตรกรท้องถิ่นจะสามารถแข่งขันกับตลาดได้อย่างไร
เมื่อมีการนำเข้าสินค้าปลอดภาษี แล้วใครที่จะบริโภคสินค้าที่แพงกว่า
ใครจะรักษาวิถีของชาวบ้านและเกษตรกรไทยไว้
เมื่อทุกคนมีภาระที่จะต้องรองรับด้านต่างๆ มากขึ้น
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนถึงแม้จะทำให้ประเทศไทยนั้นสามารถที่จะส่งออกสินค้าเข้าสู่กลุ่มประเทศอาเซียนเป็นอันดับ
1 แต่นั่นไทยก็ยังไม่ได้เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
แต่เมื่อถึงเวลา พ.ศ. 2558 ที่จะมีการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบของ
10 ประเทศสมาชิกอาเซียน กลับมีปัญหาต่างๆมากมายเข้ามา
แต่ประเทศไทยกลับยังไม่มีการตั้งรับและเตรียมแผนนโยบายที่ดีพอที่จะนำพาคนในประเทศต่อสู่กับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นๆ
ได้อย่างดีและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษาที่คนไทยยังไม่สามารถที่จะพัฒนาการติดต่อสื่อสารได้อย่างดี
คนไทยมีเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่สามารถที่จะพูดภาษาอังกฤษได้
และถึงแม้พูดได้ก็เพียงแค่เล็กน้อยงูๆปลาๆเท่านั้น
แต่อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเรากลับต้องต่อสู้แข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีประสิทธิภาพในการสื่อสารมากกว่า
แล้วคนไทยจะเอาอะไรไปสู้ไปแข่งขันกับชาติอื่น
แล้วรัฐบาลเตรียมความพร้อมด้านอาชีพเพื่อรักษาคนท้องถิ่นให้สามารถอยู่และดำรงชีพอยู่ได้แล้วหรือ
ทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรมอยู่ทุกวันนี้ รัฐบาลก็ยังไม่สามารถที่จะแก้ไข
ยังไม่สามารถที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น
แต่ก็ต้องกลับมาตั้งรับการเปลี่ยนแปลงที่มาจากคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยอีกมากมาย
ที่จะต้องเข้ามาอยู่อาศัย ที่ต้องเข้ามาใช้ทรัพยากร
ที่ต้องเข้ามาทำลายสิ่งแวดล้อมให้แย่ลงกว่าเดิม เรามีแผนตั้งรับแล้วละหรือ
เมื่อชาวต่างชาติเข้ามามากมายก็เกิดปัญหาตามมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเกิด
การตาย การย้ายถิ่น ปัญหาสุขภาพ ที่ประเทศไทยไม่มีความพร้อมและความสามารถที่จะรองรับจำนวนของคนที่จะเพิ่มมากขึ้น
เพราะปัจจุบันสถานพยาบาลของไทยก็ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนไทย
แล้วเมื่อเปิดประชาคมอาเซียน
ประเทศไทยจะสามารถรองรับและพัฒนาระบบบริการได้เพียงพอต่อทุกคนหรือ เพราะเมื่อยิ่งมีคนอยู่มาก ย้ายถิ่นอย่าอิสระ
ปัญหาโรคระบาดก็ก็เพิ่มสูงขึ้น
ทั้งยังโรคติดต่อทางเพศที่มีมาพร้อมเรื่องความต้องการเป็นประเทศท่องเที่ยวของไทย
ที่คนข้างนอกมองยังไงก็คงไม่พ้นสถานที่อโคจรต่าง
และที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกคือ “พัฒน์พงษ์”
ซึ่งจะตามมาด้วยปัญหาของเรื่องการค้ามนุษย์ รัฐบาลมีการควบคุมบรรษัททัวร์ที่พาทัวร์แต่ที่อโคจรอย่างไร
รัฐบาลจะแก้ปัญหาเรื่องการค้ามนุษย์อย่างไร
คนส่วนน้อยจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ต่อการแก้ไขปัญหาเรื่องการท่องเที่ยวของไทย
รัฐบาลกล้าที่จะปราบปรามและสร้างชื่อเสียงสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่การท่องเที่ยวของไทยหรือไม่
จะได้ช่วยลดปัญหาการค้ามนุษย์ที่จะเข้ามาทำงานในประเทศได้อย่างมาก
รัฐบาลจะทำอย่างไรให้คนไทยตื่นตัวต่อการเปลี่ยนแปลงในเวลาที่จะมาถึงอันใกล้นี้
เมื่อพยายามจะบอกอย่างไรทุกคนก็กลับไม่ใส่ใจ
รัฐบาลจะกล้าบอกประชาชนให้รับรู้ถึงผลประโยชน์ที่แท้จริงของการเปิดประชาคมอาเซียนหรือไม่
กล้าที่จะบอกถึงข้อเสียที่มีมากมายต่อการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบหรือไม่
กล้าที่จะบอกหรือไม่ว่าเมื่อเปิดประชาคมอาเซียนวิถีชีวิตของชาวบ้านจะเปลี่ยนอย่างไร
วิถีชีวิตของเกษตรกรจะเปลี่ยนไปมากน้อยเพียงไร ณ ตอนนี้คนไทยทุกคนก็เหมือนกับนอนหลับไม่รับรู้เรื่องราวที่อยู่รอบตัว
กลับจมอยู่กับความฝันที่แสนหวาน
ไม่รู้เลยว่าเมื่อตื่นขึ้นมาจะเจอความจริงที่โหดร้ายเช่นไร
จะมีใครที่จะช่วยปลุกคนไทยให้ตื่นขึ้นมารับรู้และอยู่กับโลกความจริงหรือไม่
จะมองทางไหน ส่วนไหนไทยก็ดูจะยังไม่พร้อมต่อการเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียน
เพราะคนไทยมีนิสัยไม่ตื่นตัว มักจะตื่นตระหนกเพียงชั่วครูชั่วยามเท่านั้น
เพราะถึงแม้จะมีการประชาสัมพันธ์จากสื่อต่างๆมากมาย ก็ยังไม่ทำให้คนไทยตื่นตระหนก
ตั้งรับกับอนาคตที่จะเปลี่ยนแปลงไป ระบบการศึกษาก็ยังไม่มีการจัดระบบใหม่ให้เข้มข้นและเพิ่มคุณภาพของการสอนให้ดียิ่งขึ้น
คนไทยมีเพียงเรื่องเดียวที่อนุรักษ์ความเป็นไทยแท้ๆ ไว้เท่านั้น คือการพูดภาษาไทย คนไม่รู้มองโลกภายนอกที่หมุนไปถึงไหนต่อไหน
แต่กลับอยู่แค่กับตัวเองอย่างแคบๆ เด็กไทยส่วนมากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้
แม่เข้าใจและไม่พยามที่จะศึกษา ไม่เห็นความสำคัญในการศึกษาภาษาที่สองและที่สาม ไม่ตระหนักว่าเมื่อเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียนแล้วจะเกิดการแข่งขันของตลาดแรงงานที่สูงมาก
และเมื่อเราไม่สามารถสื่อสารกับผู้อื่นรู้เรื่อง
เราก็หมดสิทธิในการทำงานหมดสิทธิในการแข่งขัน
ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นประเทศเกษตรกรรมแต่คนไทยกลับไม่ให้ความสำคัญต่อเกษตรกรรม
เราให้ความสำคัญกับสิ่งอื่น จนลืมดูความเป็นตัวตนของเราเอง
เมื่อเปิดประเทศเข้าสู่อาเซียนแล้ว วิถีชีวิตเกษตรกรแบบดั้งเดิมคงหายไปจนหมดสิ้น
เพราะเมื่อมีการเปิดประชาคมอาเซียนการขนส่งต่างๆจะง่ายมากขึ้น
สินค้าปลอดภาษีมีหลากหลายขึ้น มีการนำเข้าสินค้าจากประเทศอื่นที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าประเทศไทย
แต่เราก็ลืมคิดว่าถ้ารับของประเทศอื่นมาแล้วคนไทยที่ผลิตสินค้านั้นนอยู่จะทำอย่างไร
เมื่อขายไม่ได้ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนวิถีการผลิตแบบใหม่ ก็เท่ากับว่าเริ่มต้นใหม่ ยิ่งจะเพิ่มความเสี่ยงให้สูงขึ้น
ไทยเป็นประเทศที่มีโรงงานอุตสาหกรรมมากมายถึงแม้จะเป็นประเทศเกษตรกรรมก็ตาม
เมื่อเปิดประชาคมอาเซียนก็เป็นธรรมดาที่แรงงานจะข้ามชาติเข้ามาทำงานในประเทศไทย
ทำให้คนในท้องถิ่นต้องมีการแข่งขันกับตลาดแรงงานสูงขึ้น จึงเป็นเรื่องน่ากลัวที่แงงานไร้ฝีมือจะล้นตลาดไทย
และคนในชุมชนคนในท้องถิ่นก็จะต้องย้ายออกไปอยู่ที่อยู่ใหม่จึงเกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าตามา
ทำให้ประเทศไทยสูญเสียค่าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินปริมาณที่กฎหมายสากลกำหนด
ทำให้ไทยเสียเงินในการรับภาระการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วรัฐบาลได้เตรียมพื้นที่ที่อยู่อาศัย
ปัจจัย 4 เพียงพอต่อการเปิดประเทศสู่ประชาคมอาเซียนหรือไม่
ประเทศไทยต้องการเป็นประเทศแห่งการท่องเที่ยวรัฐบาลพยายามที่จะนำเสนอด้านศิลปะ
วัฒนธรรมอันดีงามของไทยให้ชาวต่างชาติได้เข้ามาเที่ยวชมประเทศไทย แต่ก็แพ้ให้แก่บรรษัททัวร์ทั้งหลายที่เอาสิ่งมัวเมาทั้งหลายเพื่อพานักท่องเที่ยวต่างชาติได้ชม
เช่น พัฒน์พงษ์ จึงเกิดปัญหาการค้ามนุษย์และมีการลักลอบนำผู้หญิงเข้ามาค้ามากขึ้น
เมื่อคนยิ่งมาก การอยู่รวมกันการแพร่ระบาดของโลกก็ยิ่งเร็วมากขึ้น
และสถานพยาบาลของรัฐบาลก็ไม่เพียงพอต่อการรักษา
เกิดโรคติดต่อทางอากาศได้ง่ายและมีผู้ติดจำนวนมาก และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้น
รัฐบาลจะทำอย่างไรกับปัญหาที่เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา
แรงงาน การเกษตร โรคติดต่อ สุขภาพ ฯลฯ ที่จะเกิดเพิ่มมากขึ้นอีกมากมายหลังจากเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียนแล้ว
รัฐบาลมองเห็นปัญหาพวกนี้หรือไม่
แล้วจะมีนโยบายใดที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้
เพื่อให้คนไทยสามารถอยู่ได้โดยที่ฐานการดำรงชีพนั้นเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ปัญหาทุกอย่างจะไม่แพร่กระจายเป็นวงกว้างสามารถที่จะจัดการกับปัญหาได้มากน้อยเท่าไร
หรือมองเห็นปัญหาแล้กลับอยู่นิ่งเฉย แล้วเราทุกคนคิดว่า “ประเทศไทยเราพร้อมแล้วละหรือที่จะเปิดประตูสู่ประชาคมอาเซียนที่ใกล้เข้ามาทุกที”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น