บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง ปัญหาความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
จากการเกิดสถานการณ์ความไม่สงบสุขในจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน
อันนำมาซึ่งความสุญเสียทั้งด้านเศรษฐกิจ และสังคมในพื้นที่ดังกล่าว
ขณะที่ปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐ และประชาชนยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ ปัญหาความขัดแย้งในชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เป็นปัญหาที่ซับซ้อนมีสาเหตุทั้งจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา
สถานการณ์ความมั่นคงใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส
เป็นปัญหาท้าทายรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย ลักษณะความรุนแรงขึ้นและลงตามกระแสการเมืองและแรงจูงใจที่กระตุ้นขบวนการก่อการร้ายกลุ่มต่าง
ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางศาสนาหรือเป้าหมายการแบ่งแยกดินแดน
หรือแม้แต่ผลประโยชน์ส่วยตัว โดยมีเหตุการณ์ลอบทำร้าย วางเพลิง วางระเบิด
ก่อการร้าย และจลาจล เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความขัดแย้งยังมาจาก
แนวนโยบายบูรณาการแห่งชาติ
ของรัฐบาลกลับเพิ่มความขัดแย้งระหว่างคนไทยเชื้อสายมุสลิม กับรัฐไทยมากขึ้น
จนเป็นเหตุให้เกิดดารชุมนุมประท้าวงและการจลาจลในพื้นที่อย่างรุนแรง
นอกจากนนี้ยังเกิดการยุยงจากผู้ไม่หวังดีทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ให้ชาวมุสลิมดำเนินการตอบโต้ ในหลากหลายวิธีการ
จนนำไปสู่รูปแบบการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากระบอบการปกครองของประเทศไทย
ความขัดแย้งด้านประวัติศาสตร์
ความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกลางกับภูมิภาคนี้เริ่มตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมาใช้ระบบมลฑลเทศาภิบาลในสมัยรัชกาลที่
๕ ยกเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครรวมทั้งเจ้าเมืองทั่วประเทศ ยังผลให้กลุ่มอำนาจเก่าที่เรียกอ้างตนว่าสืบเชื้อสายมาจากสุลต่านเดิม
ในพื้นที่ไม่พอใจ อย่างไรก็ตามก่อนการมาตั้งถิ่นฐานของชาวมาเลย์มุสลิมนั้น
พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศรีวิชัย
และอาณาจักรลังกาสุกะมาก่อน โดยประชาชนส่วนใหญ่นับศาสนาฮินดู
และศาสนาพุทธและต่อมาศาสนาอิสลามได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
กำเนิดเมืองปัตตานีในช่วงต้นสมัยอยุธยา มะละกามีอำนาจมากขึ้น ต่อมาได้ปฏิเสธอำนาจของมัชปาหิตของสยาม ทำให้สยามต้องยกทัพไปปราบปรามมะละกาแต่ไม่สามารถเอาชนะได้
กองทัพมะละกาได้บุกเข้าโจมตีเมืองโกตามหลิฆัยของลังกาสุกะและขยายอำนาจเข้าปกครองเมืองต่างๆแถบปลายแหลมมาลายู
ทำให้ชาวเมืองหันมานับถือศาสนาอิสลามตามแบบอย่างมะละกามากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับปัตตานีนั้นพญานอินทิราโอรสของราชาศรีวังสาแห่งโกตามหลิฆัย
ได้สร้างเมืองปัตตานีขึ้นใหม่ที่ริมทะเลบ้านกรือเซะบานา ต่อมาทรงเข้ารับนับถือศาสนาอิสลามและเปลี่ยนพระนามเป็น สุลต่าน อิสมาอีล ชาห์
ปกครองเมืองปัตตานีระหว่างปีพ.ศ. ๒๐๔๓-๒๐๗๓
นับแต่นั้นมาเมืองปัตตานีเข้าสู่ยุคอิสลามโดยสมบูรณ์ มีความรุ่งเรื่องมากทั้งในด้านการผลิตนักเผยแพร่อิสลามและเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสนาอิสลาม
ปัตตานีมีสุลต่านหรือยาราเป็นเจ้าเมืองปกครองต่อเนื่องมาถึง๒๓พระองค์ จึงมีการปรับปรุงการปกครองเป็นระบบ 7 หัวเมือง มีการแบ่งการปกครองออกเป็น
๗ เมือง ได้แก่ เมืองปัตตานี หนองจิก ยะหริ่ง ยะรา รามันห์
ระแงะและสายบุรี แต่ละเมืองมีเจ้าเมืองซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลสยามที่กรุงเทพเป็นผู้ปกครอง
โดยมีหลักว่าเมืองใดมีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากก็ให้มีเจ้าเมืองที่นับถือศาสนาอิสลาม เมืองใดที่มีการนับถือศาสนาพุทธมากก็ให้มีเจ้าเมืองที่นับถือพุทธศาสนา แต่ในทางปฏิบัติประสบปัญหาอยู่เนืองๆ
เจ้าเมืองกับรัฐสยามรวมทั้งประชาชนในเมืองต่างๆ
มีข้อขัดแย้งอันเนื่องจากการปกครองอยู่บ่อยครั้งจึงต้องยกเลิกการปกครองรูปแบบนี้ไปในปี
๒๔๔๕ ปัจจุบันยังคงมีวังที่เคยเป็นที่พำนักของเจ้าเมือง เป็นมรดกตกถอดถึงลูกหลาน แต่บางแห่งก็ทรุดโทรมและถูกทิ้งล้างไปตามกาลเวลา
สมัยมณฑลเทศาภิบาล ในปี พ.ศ. ๑๔๔๙
รัฐสยามประกาศตั้งมณฑลปัตตานีมีสมุหเทศาภิบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากสยามเป็นผู้ปกครอง มีเมืองเข้ารวมอยู่ในมณฑลปัตตานี ๔ เมือง คือ
เมืองปัตตานี ( รวมเมืองหนองจิก ยะหริ่ง และปัตตานี ) เมืองยะลา ( รวมเมืองรามันห์และยะลา ) เมืองสายบุรีและเมืองระแงะ ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๔๖๕ ได้ยกฐานะเมืองทั้ง ๔ เป็นจังหวัด ทำให้ปัตตานี ยะลา สายบุรี และนราธิวาส มีฐานะเป็นจังหวัดตั้งแต่
พ.ศ. ๒๔๖๕ เป็นต้นมา ในสมัยมณฑลเทศาภิบาลอำนาจและบทบาทของเจ้าเมืองในระบบเดิมซึ่งมีมาตั้งแต่
พ.ศ.๒๐๔๓ สิ้นสุดลง ทำให้มีข้อขัดแย้งหลายกรณีเกิดขึ้น
นำไปสู่การเคลื่อนไหวการจัดตั้งองค์กร เพื่อเรียกร้องอิสรภาพปัตตานีในเวลาต่อมา
สามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ รัฐบาลประกาศยกเลิกมณฑลปัตตานี และยุบจังหวัดสายบุรี ลดฐานะเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดปัตตานีโดยรวมจังหวัดทั้งสามไว้ในการปกครองของมณฑลนครศรีธรรมราช
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๖ รัฐบาลได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคแบ่งการปกครองออกเป็นจังหวัดและอำเภอ ทำให้จังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส มีฐานะเป็นจังหวัดในระบบราชการบริหารส่วนภูมิภาคและมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารการปกครอง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เป็นต้นมา จนถึงปัจจุบัน
ราชอาณาจักรไทยประกอบขึ้นด้วยดินแดนที่เคยเป็นรัฐโบราณและหัวเมืองต่างๆ
ในอดีต
ผนวกรวมกันขึ้นเป็นรัฐสมัยใหม่ที่มีอาณาเขตพรมแดนที่แน่นอน แต่เนื่องจากความเข้มแข็งของผู้ปกครองในแต่ละยุคสมัย รวมทั้งปฏิสัมพันธ์กับรัฐเพื่อนบ้าน และความพยายามที่จะเป็นอิสระของหัวเมืองต่างๆ
ที่เคยมีอิสรภาพมาแต่เดิม ทำให้พัฒนาการของราชอาณาจักรไทยแต่ละยุคแต่ละสมัยต้องเผชิญกับพลังอำนาจทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักรมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าหลังยุคสมัยการขยายอาณานิคมของชาติตะวันตกมีข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานภาพของรัฐต่างๆ
ในภูมิภาคนี้ แต่ความไม่พอใจและปฏิกิริยาของกลุ่มการเมืองและกลุ่มชาติพันธ์บางกลุ่มยังคงดำรงอยู่และมีความเคลื่อนไหวเป็นระยะ
ๆ การเรียนรู้ความจริงทางประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคต่างๆ
ของราชอาณาจักรไทยโดยเฉพาะกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เปิดกว้างและรับรู้ว่าความจริงเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ราชอาณาจักรไทย ย่อมดีกว่าการปฏิเสธหรือปิดโอกาสการเรียนรู้ ซึ่งนอกจากจะสร้างทัศนะที่คับแคบให้กับพลเมืองไทยแล้ว ยังเปิดโอกาสให้กลุ่มเคลื่อนไหวกลุ่มต่าง ๆ นำจุดอ่อนดังกล่าวไปขยายผลให้เกิดประโยชน์ทางการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ
จนพลังการขัดแย้งอาจขยายตัวรุนแรงเกินกว่าที่คนไทยด้วนกันเองจะเยียวยาได้ในอนาคต
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งฝ่ายรัฐและฝ่ายเคลื่อนไหวได้เลือกใช้ประวัติศาสตร์บางตอนให้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายตน
เช่น
ฝ่ายรัฐอ้างเรื่องการเสียดินแดนเพื่อปลุกสำนึกคนไทยทั้งประเทศให้หวงแหนแผ่นดิน ขณะที่ฝ่ายเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบได้อ้างถึงรัฐปัตตานีและการทวงคืนอิสรภาพของชาวมลายูปัตตานี การใช้ประวัติศาสตร์ดังกล่าวก่อให้เกิดการเผชิญหน้าและขัดแย้งขยายผลอย่างรุนแรงและรวดเร็ว
ในสมัยนโยบายบูรณาการแห่งชาติที่รัฐบาลไทยกำหนดใช้
พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ. 2464
มีผลบังคับให้บุตรหลานของคนทุกหมู่เหล่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
ต้องเข้าสู่ระบบโรงเรียนชั้นประถมศึกษาซึ่งได้รับการรับรองจากรัฐบาลไทย
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่คนบางกลุ่มมองว่าความพยายามในการส่งเสริมการใช้ภาษาไทยและ
ส่งเสริมให้ทุกคนสามารถอย่างออกเขียนได้เพื่อเพิ่มโอกาสในการหางานในอนาคต
เป็นการกีดกันชนชาติมาเลย์มุสลิมออกจากภาษาและวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง
ต่อมารัฐบาลไทยสั่งปิดบรรดาโรงเรียนต่างๆที่มิได้สอนภาษาไทยอย่างถูกต้องตามหลักสูตรของรัฐทั้งหมดลงทั่วประเทศในปพ.ศ.
2466 ซึงรวมไปถึงโรงเรียนของชาวมาเลย์มุสลิมด้วย
เป็นผลให้เกิดการชุมนุมประท้วงและการจลาจลขึ้นในพื้นที่อย่างรุนแรง
ปี พ.ศ. 2482
มีการประกาศใช้ระเบียบวัฒนธรรมไทยโดยเผด็จการ จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ให้ชาวไทยต้องใส่เครื่องแต่งกายและประเพณีนิยมแบบไทย
ผู้มีการฝ่าฝืนข้อบังคับดังกล่าวนี้จะต้องถูกปรับไหมและรับโทษอย่างเข้มงวด
ทั้งนี้รวมไปถึงชาวไทยมุสลิมด้วย สถานการณ์ก็เลวร้ายหนักขึ้นเมื่อการใช้ภาษามาเลย์และวัตรปฏิบัติบางอย่างทางศาสนาอิสลามถูกรัฐบาลไทยภายใต้เผด็จการจอมพล
ป.พิบูลสงคราม กำหนดให้เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ในปี พ.ศ. 2487(ค.ศ.1944)
ปี พ.ศ. 2504(ค.ศ.1961)
รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้แนวนโยบาย "ปฏิรูปการศึกษา"
ขึ้นในพื้นที่จังหวัดของชาวมาเลย์มุสลิม
รัฐบาลให้การยอมรับโรงเรียนสอนศาสนาแบบดั้งเดิม (ปอเนาะ)
โดยให้มีการขึ้นทะเบียนเป็นโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนาอิสลาม
ประยุคระบบการศึกษาไทยเสียใหม่ ให้ครอบคลุม และ
สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวมาเลย์มุสลิม เหล่านี้ก็เพื่อสร้างจิตสำนึกและปลูกฝังความจงรักภักดีในสถาบันหลักอันประกอบด้วยชาติ
ศาสนา(ทุกศาสนาในประเทศไทยได้รับความเคารพอย่างเท่าเทียมกัน) และพระมหากษัตริย์
การต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากระบอบการปกครองไทยที่ดำเนินสืบเนื่องมานับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่
๒๐ หรือภายหลังจากที่พื้นที่แห่งนี้ถูก อังกฤษ และ สยาม ทำข้อตกลงแบ่งปันดินแดน
(ส่วนหนึ่งของดินแดนนั้นถูกผนวกรวมเข้ากับประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๕ และอีกส่วนถูกรวมเข้ามันมาเลเซีย)
การต่อสู้ได้ลดน้อยลงในบางช่วงแต่ในทุกวันนี้ทวีความรุนแรง
และสั่นคลอนความมั่นคงของอำนาจรัฐไทยในพื้นที่จังหวัดมาเลย์มุสลิมมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในช่วงเวลา ๒ ปีที่ผ่านมา
การเคลื่อนไหวของขบวนการแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่มีความเข้มแข็งเป็นอย่างยิ่ง
เกิดเหตุการณ์ลอบเผาโรงเรียนของรัฐ การเข้าปล้นอาวุธจากคลังแสงของกองทัพบก
การโจมตีป้อมตำรวจ รวมทั้งเกิดเหตุการณ์ลอบสังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร พระภิกษุ และชาวพุทธอีกจำนวนหนึ่ง
ทำให้รัฐบาลไทยต้องประกาศกฎอัยการศึกขึ้นในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม
ชาวมาเลย์มุสลิมบางกลุ่มในภาคใต้กลับมองว่า
นโยบายบูรณาการแห่งชาตินั้นมีเป้าหมายในการหลอมรวมชนชาวมาเลย์มุสลิมเข้ากับศูนย์อำนาจที่กรุงเทพฯ
เป็นการท้าทายต่อวิถีศรัทธาและอัตลักษณ์ของชุมชนมาเลย์มุสลิม
ภายใต้ระบอบการปกครองที่หมายมุ่ง "วิวัฒน์"
เกิดการยุยงจากผู้ไม่หวังดีทั้งภายในและภายนอกประเทศ
ให้ชาวมาเลย์มุสลิมดำเนินการตอบโต้ ในหลากหลายวิธีการรวมไปถึงรูปแบบการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนออกจากระบอบการปกครองไทย
โดยมิได้มองว่าประเทศไทยนั้นมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติ ภาษา ศาสนา
และวัฒนธรรม คนบางกลุ่ม บางวัฒนธรรม
อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานานกว่าชาวมาเลย์ในภาคใต้ด้วยซ้ำไป และก็ไม่ใช่ว่า
คนทุกกลุ่มเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลไทย
แต่เพื่อความสงบและปรองดองของคนไทยด้วยกัน คนทุกกลุ่ม ทุกหมู่เหล่าในประเทศไทย
ทำทุกอย่าง เพื่อให้ตนสามารถอาศัยร่วมกันภายใต้กฎหมายเดียวกันด้วยความสงบ
หากกลุ่มใดไม่เห็นด้วยกับการทำงานของรัฐ
กลุ่มคนเหล่านั้นมักจะแสดงออกด้วยการชุมนุมประท้วง
ชนชั้นนำและโครงสร้างอำนาจเป็นเรื่องของกลุ่มคนที่อาศัยฐานของทรัพยากรทางการเมืองที่ประกอบด้วยอำนาจ
สถานภาพทางสังคม ความมั่งคั่งและชื่อเสียงเกียรติยศมาใช้เพื่อธำรงฐานะนำในสังคมหรือชุมชน
ปกติในสังคมทุกสังคมการกระจายการครอบครองฐานอำนาจในทรัพยากรทางการเมืองจะไม่เท่ากัน
กลุ่มคนที่มีฐานทรัพยากรทางการเมืองดังกล่าวมากก็ยิ่งจะมีอำนาจอิทธิพลในชีวิตประจำวัน
พวกเขายังเป็นผู้กำหนดอนาคตและการเปลี่ยนแปลงในสังคมหรือชุมชน ยิ่งฐานอำนาจมีการกระจุกตัวในกลุ่มใดมาก
โครงสร้างอำนาจก็จะยิ่งแข็ง ความสัมพันธ์ทางอำนาจเกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างคนที่มีฐานทรัพยากรดังกล่าวในสังคมซึ่งทำให้เกิดพลวัตทางการเมืองในแต่ละชุมชน
ผลก็คือทำให้เกิดอำนาจในการควบคุมทางสังคมซึ่งชนชั้นนำสามารถจัดการหรือใช้อำนาจของกลุ่มตนเองได้
ในสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้อำนาจจะอยู่ในกลุ่มชนชั้นนำบางกลุ่มที่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขพัฒนาการในประวัติศาสตร์อันยาวนาน
ความสัมพันธ์ทางอำนาจนี้จะสืบเนื่องตกทอดมาจนถึงปัจจุบันซึ่งขึ้นอยู่กับโครงสร้างที่มีอยู่ตามวัฒนธรรม
ประเพณีและศาสนา แต่เมื่อมองในบริบทที่กว้างออกไป โครงสร้างอำนาจดังกล่าวมีปฏิสัมพันธ์ทั้งจากภายในและจากภายนอกสังคม
เช่นเดียวกับรัฐอื่นๆด้วย ดังนั้น ประวัติศาสตร์ของปัตตานีก็คือประวัติศาสตร์ที่ชนชั้นนำปัตตานีกลุ่มต่างๆต่อสู้กันเองและต่อสู้กับชนชั้นนำหรืออำนาจรัฐภายนอกที่มาคุกคามความอยู่รอดของตนเอง
ในที่นี้คือรัฐไทย การต่อสู้และการปรับตัวดังกล่าวทำให้เกิดพลวัตของการเมืองที่ส่งผลมาถึงการต่อสู้และความขัดแย้งในปัจจุบัน
การเปลี่ยนแปลงรัฐไทยต่อชนชั้นนำทางศาสนา
มาตรการที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ในการบูรณาการของกรุงเทพก็คือการใช้ กฎหมายไทย แทนที่กฎหมายชาริอะและอาดัดยกเว้นกรณีกฎหมายครอบครัวและมรดก
ในขณะที่มาตรการทางการบริหารและการคลังของการปฏิรูปทำ ให้ ชนปกครองศักดินาเก่าไม่พอใจ
การยกเลิกกฎหมายอิสลามและกฎหมายตามประเพณีกระตุ้นความรู้สึกในส่วนลึกของคนมลายู มุสลิม
โดยทั่วไปซึ่งมองว่าความผูกพันทางศาสนาเป็นแกนกลางของการดำ รงชีวิตและความศรัทธาที่พวก
เขายินยอมที่จะเสียสละแม้ชีวิตเพื่อให้ ได้มาตัวอย่างของความพยายามในการต่อต้านการ
เปลี่ยนแปลงในลักษณะดังกล่าวก็คือข้อเรียกร้องของเจ้าเมืองปัตตานีเต็งกูอับดุลกาเดห์
กามารุดดิน ในช่วงขณะที่มีการเจรจากับตัวแทนของฝ่ายสยามเรื่องการมอบอำนาจให้รัฐสยาม
เจ้าเมืองปัตตานี ขอให้ เมืองปัตตานีมีการบริหารเช่นรัฐเปรัค กล่าวคือให้ เจ้าเมืองยังคงมีอำนาจบางอย่าง
พร้อมทั้งมี การใช้ กฎหมายอิสลามและภาษามลายู เป็นภาษาของทางราชการ แต่ได้รับการปฏิเสธ
นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นยังมีหลักฐานอ้างว่าทางการไทยหลอกเจ้าเมืองปัตตานีเพื่อให้
ลงนามในสัญญา แต่สัญญากลับถูกแปลเป็นภาษามลายู จากภาษาไทยซึ่งมีข้อความไม่ตรงกับความต้องการของเจ้าเมือง
จะเห็นได้ ว่าความต้องการของเจ้าเมืองปัตตานีก็คือรักษาลักษณะสำคัญของรัฐสุลต่านมลายู
คือ กฎหมายอิสลามและภาษามลายู เพราะลักษณะที่ สำคัญของรัฐสุลต่านแบบปัตตานี ก็คือ ระบบการเมืองใน
สภาพสังคมที่เน้นหนักในด้านศาสนา ระบบนี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของชาริอะห์ และการปฏิบัติตามประเพณีสังคมมลายู
ยุคก่อนอิสลามซึ่งมีอยู่ ก่อนแล้วหรือที่เรียกว่าอาดัดและระบบนี้จะถูกปกครองโดยคนมุสลิมที่ค่อนข้างเคร่งครัดทางศาสนากลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายทางศาสนาในโครงสร้างอำนาจชนชั้นนำในสังคมมลายูปัตตานีในที่นี้ก็คือชนชั้นนำทางศาสนา
ผู้นำทางศาสนาเชื่อว่าการยินยอมต่ออำนาจการปกครองที่ไม่ใช่อิสลามเป็นสิ่งที่ไม่อนุมัติในอิสลาม
ดังนั้นชนชั้นนำทางศาสนาจึงร่วมมือกับชนชั้นสูงในการต่อต้านการปฏิรูป ตัวอย่างเช่นกรณีของสายบุรีและรามันที่มีการประท้วงต่อคำสั่งของรัฐไทยโดยชนชั้นนำทางศาสนา
ในห้วงเวลาหลังจากนั้นบทบาทการต่อสู้ทางการเมืองของชนชั้นนำทางศาสนาก็สูงเด่นมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสองประเด็นคือ เรื่องระบบยุติธรรมหรือกฎหมายอิสลามและระบบการศึกษาของมลายูอิสลาม
ในเมื่อชนชั้นนำตามประเพณีซึ่งเป็นชนชั้นปกครองเก่าและชนชั้นนำทางศาสนามีอำนาจมากในโครงสร้างสังคม
การดำเนินการทางการเมืองที่กระทบต่ออำนาจของกลุ่มอำนาจดังกล่าวย่อมจะทำให้เกิดปัญหาและวิกฤติการณ์ทางการเมือง
ดังที่กล่าวไปแล้วว่าการปฏิรูปในสมัยรัชกาลที่ 5 ทำให้อำนาจชนชั้นนำตามประเพณีได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงและมีผลต่อวิกฤติการณ์ทางการเมืองในยุคต่อมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรมองข้ามพลวัตและการปรับตัวภายในของโครงสร้างอำนาจที่เกิดขึ้นในกระบวนการต่อสู้และความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ด้วย
พลวัตและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทั้งภายในตัวของกลุ่มชนชั้นนำเองและเกิดจากตัวแปรสถานการณ์ภายนอก
เช่นนโยบายและการต่อสู้กับรัฐไทย หรือเกิดจากพลังภายนอก อิทธิพลจากปัจจัยระหว่างประเทศ
พลวัตเหล่านี้ทำให้บทบาททางการเมืองของชนชั้นนำปัตตานีมีวิวัฒนาการที่ซับซ้อนตามไปด้วย
การบูรณาการชาติด้วยระบบการศึกษา
จากการวิเคราะห์ที่ผ่านมาข้างต้น
จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าธรรมชาติของสังคมปัตตานีในอดีตที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบันทำให้ชนชั้นนำทางศาสนามีบทบาทนำในกิจกรรมชุมชน
กิจกรรมทุกอย่างในหมู่บ้านจะให้ความสำคัญกับศาสนา ดังนั้นในโอกาสสำคัญทางศาสนา พิธีกรรมและประเพณีจะต้องให้ผู้นำทางศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง
ชนชั้นนำทางศาสนายังปฏิบัติหน้าที่เป็นสื่อกลางภายในชุมชนและเป็นตัวเชื่อมระหว่างประชาชนกับรัฐบาล
กลุ่มดังกล่าวจึงได้รับการเคารพนับถือและไดัรับการพิจารณาว่าเป็นผู้นำที่มีความชอบธรรมที่สุดในชุมชน
จุดที่สำคัญก็คือ ในบรรดาชนชั้นนำทางศาสนาทั้งหมด ครูสอนศาสนาเป็นกลุ่มที่มีความสำคัญมากที่สุด
เพราะบทบาทของพวกเขาก็คือผู้ให้การศึกษาทางด้านศาสนาและมีอำนาจอันลี้ลับทำให้พวกเขาอยู่ในสถานภาพที่สูงกว่าชนชั้นนำกลุ่มอื่น
ครูสอนศาสนาเป็นผู้มีความรู้ในทางศาสนา พวกเขาจะมีหน้าที่สอนในโรงเรียนปอเนาะและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลาม
ในมัสยิดและบาลาเซาะ ในชุมชน ครูสอนศาสนาได้รับฐานะเป็นชนชั้นนำเพราะมีการศึกษาทางศาสนาและมีอาชีพสอนศาสนาครูสอนศาสนาอาจจะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ
ครูสอนศาสนาแบบเก่าตามจารีตประเพณี โต๊ะครู)
และครูสอนศาสนาแบบใหม่ที่ไม่ใช่จารีตประเพณี อุสตาซ) ครูสอนศาสนาแบบเก่าคือผู้ที่ได้รับการศึกษาศาสนาจากสถาบันการศึกษาแบบเก่าตามโรงเรียนปอเนาะในท้องถิ่น
ในมัสยิดหรือจากเมกกะประเทศซาอุดิอาระเบีย พวกนี้ถือว่าเป็นผู้มีอำนาจความชอบธรรมมากที่สุดในเรื่องเกี่ยวกัอิสลามและเป็นผู้ที่มีอิทธิพลและได้รับการเคารพนับถือมากที่สุดในกลุ่มของชนชั้นนำทางศาสนา
ครูสอนศาสนาที่เรียกว่าอุสตาซส่วนใหญ่จบการศึกษาอย่างเป็นทางการจากโรงเรียนสอนศาสนาและจากมหาวิทยาลัย
ส่วนมากคนพวกนี้จะจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยจากประเทศตะวันออกกลางและประเทศอาฟริกาเหนือ
หรือจากโรงเรียนสอนศาสนาในมาเลเซียและอินโดนีเซีย อุสตาซเป็นกลุ่มผู้นำศาสนาที่มีความสำคัญและอิทธิพลมากเป็นลำดับสอง
การเปลี่ยนแปลงที่รัฐไทยกระทำต่อระบบการศึกษาทางด้านศาสนาของปัตตานีก็มีผลต่อชนชั้นนำด้วย
ฐานที่สำคัญของความคิดอนุรักษนิยมแบบมลายูมุสลิมตั้งอยู่ที่ระบบการศึกษาแบบเก่าหรือระบบโรงเรียนปอเนาะ
ส่วนการศึกษาแบบใหม่ในสายสามัญก็เป็นฐานในการสร้างชนชั้นนำใหม่ รัฐไทยก็พยายามสร้างชนชั้นนำใหม่ที่มาจากคนส่วนน้อยให้ทำงานในระบบราชการและขึ้นอยู่กับรัฐชาติ
การต่อสู้อย่างรุนแรงในเรื่องการศึกษาเริ่มในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ ชนชั้นนำมลายูมุสลิมมองว่ากฎหมายการศึกษาภาคบังคับฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการทำให้คนปัตตานีกลายเป็นคนสยาม
พร้อมทั้งละทิ้งศาสนาและวัฒนธรรมของตนเอง ประเด็นที่สำคัญสำหรับพวกเขาก็คือไม่ควรเปิดตัวเด็กรุ่นใหม่สู่ระบบการศึกษาที่ทำให้พวกเขาถูกหันเหออกจากแนวทางศาสนาอิสลาม
ผลที่ตามมาก็คือมีการต่อต้านการบังคับใช้กฎหมายการศึกษาภาคบังคับของไทยและการแบ่งรายได้ภาษีที่เก็บมาจากคนมลายูให้ส่วนกลาง
ในปี พ.ศ. ๒๔๖๕ จึงเกิดกบฏที่หมู่บ้านนํ้าใสที่อำเภอมายอ
จังหวัดปัตตานีดังที่กล่าวไปแล้ว โดยมีผู้นำคือตนกู อับดุลกาเดห์ กามารุดดินอดีตเจ้าเมืองปัตตานี
ร่วมกับผู้นำศาสนาปลุกระดมให้มีการต่อต้านรัฐไทยที่ประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษาภาคบังคับ
โดยในกฎหมายบังคับให้เด็กมลายูมุสลิมทุกคนเข้าเรียนโรงเรียนประถมศึกษาไทย จนเกิดการปะทะกันระหว่างชาวบ้านกับทหารและตำรวจ
ซึ่งจบลงด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรง ในปีถัดมา ทางการไทยก็สั่งปิดโรงเรียนสอนศาสนามีผลทำให้การประท้วงต่อต้านขยายตัวลุกลามออกไปและรัฐบาลไทยต้องส่งกองกำลังเข้ามาปราบปรามอย่างรุนแรง
Surin
กล่าวโดยสรุป นโยบายบูรณาการทางการเมืองโดยผ่านระบบการศึกษาถูกดำเนินการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ดังต่อไปนี้
๑. การขยายโรงเรียนประถมศึกษาในทุกๆหมู่บ้าน
๒.การขยายโรงเรียนมัธยมศึกษาในทุกอำเภอ
๓.การสร้างโรงเรียนอาชีวศึกษาชั้นต้นในทุกเมืองของจังหวัดชายแดนภาคใต้
๔.การสร้างวิทยาลัยครูยะลาและมหาวิทยาลัยคือมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี
๕. เปลี่ยนโรงเรียนปอเนาะไปเป็นระบบโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่รัฐให้การสนับสนุนทางการเงิน
๖.นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 มีการกําหนดโควต้าสำหรับการรับนักศึกษามลายูมุสลิมให้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยในประเทศส่วนกลาง
๗.การรับคนมลายูมุสลิมที่จบการศึกษาในระบบไทยเข้าสู่ระบบราชการ
ปัญหาของนโยบายการศึกษาของรัฐบาลในช่วงเวลาดังกล่าวเกิดจากกรอบของนโยบายการ
สร้างบูรณาการและเอกภาพของชาติซึ่งเป็นแนวทางสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาเดิมของปัตตานีทั้งระบบ รัฐต้องการให้เกิดความร่วมมือกันระหว่างชาวบ้านมุสลิมกับข้าราชการไทยเพื่อให้เกิดบูรณาการแห่งชาติ สิ่งนี้ถูกถือเป็นปัจจัยสำคัญของนโยบายผสมกลมกลืนและบูรณาการแห่งชาติ แต่ภายใต้กรอบดังกล่าวขีดจำกัดก็เกิดขึ้น ข้าราชการมุสลิมซึ่งถูกสร้างขึ้นมาในระบบการศึกษาแบบของรัฐและเป็นคนกลุ่มน้อยในระบบราชการ มีจำนวนเพียงน้อยนิดในระบบราชการจังหวัดภาคใต้ ติดอยู่กับความรู้สึกขัดแย้งกันสองอย่าง ด้านหนึ่งข้อเรียกร้องของระบบราชการที่ต้องการความผสมกลมกลืนและความจงรักภักดีต่อรัฐที่เป็นคนพุทธส่วนใหญ่ กับข้อเรียกร้องต้องการของประชาชนที่ต้องการการปฏิบัติที่ดี เมื่อข้าราชการที่เป็นมุสลิมเปลี่ยนชื่อเป็นไทยพวกเขาก็สูญเสียความเชื่อมั่นไว้วางใจจากประชาชนเพราะเป็นการปฏิเสธวัฒนธรรมของตนเอง แต่ถ้าข้าราชการเหล่านี้เข้าถึงประชาชน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับประชาชนในท้องถิ่นและปฏิเสธที่จะยอมรับความกดดันในระบบราชการ พวกเขาก็จะเสียอนาคตในอาชีพของตน ดังนั้น แม้ว่าจำนวนข้าราชการมลายูมุสลิมจะมีจำนวนมากขึ้นอันเนื่องมาจากนโยบายการศึกษาเพื่อการผสมกลมกลืนและบูรณาการ คนเหล่านี้จะมีบทบาทน้อยมากในการเชื่อมช่องว่างระหว่างชาวบ้านมุสลิมกับรัฐ
การเลือกนับถือศาสนานั้น
เป็นของใครของมัน ซึ่งโดยปรกติเรามักจะนับถือศาสนาตามบรรพบุรุษ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย
พานับถือศาสนาอะไรก็นับถืออย่างนั้นสืบต่อกันมาเป็นรุ่นๆไป
มักจะไม่ค่อยมีใครเปลี่ยนศาสนา แต่ก็มีบ้างและน้อยมาก
จนไม่ค่อยมีใครสนใจสำรวจเอาไปทำสถิติ เชื้อชาตินั้น เป็นของใครของมัน
ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
เพราะจะได้ติดตัวตั้งแต่เกิดตามเชื้อชาติของพ่อแม่ไปจนกระทั่งตาย
แม้ว่าตัวเองจะตายไปแล้วแต่ยังสามารถมีลูกหลานเอาไว้ทายาทเป็นมรดกสืบทอดเชื้อสายชาติพันธุ์ของตัวเองให้ยืนยาวบนโลกเล็กๆ
ใบนี้ต่อไปอีกในเมื่อพื้นที่ของโลกเริ่มมีจำกัด
ทำให้แต่ละเชื้อชาติก็พยายามสร้างอาณาจักรให้กับตัวเองและลูกหลาน
และแน่นอนเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์ไหนแข็งแรงก็ย่อมที่จะรุกรานเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์ที่อ่อนแอกว่าเป็นธรรมชาติ
บางเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์สู้ไม่ได้ทำลายจนสูญหายไปจากแผนที่โลกเลยก็มี บางเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์คงอยู่
แต่ภายใต้การปกครองของเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์ที่แข็งแรงกว่า บ้างก็ถูกกลืน
บ้างก็ถูกทำลาย คนสัญชาติไทยเชื้อชาติมาลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในประเทศไทย
ก็พยายามรักษาอัตลักษณ์เผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์ของตนเอาไว้ด้วยชีวิตเช่นเดียวกัน ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงถูกบิดเบือนให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งในศาสนา
ทั้งที่ความจริงเป็นความขัดแย้งในเรื่องเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์มาลายูล้วนๆ ผสมรวมกับปัญหาผลประโยชน์ ปัญหายาเสพติด ความไม่ยุติธรรม
การถูกรังแกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ทำให้เรื่องความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงจึงมีลักษณะพิเศษที่ จุดติดง่ายและดับยาก
กลุ่มขบวนการเปรียบได้ดังไม้ขีดไฟหรือชนวน
ความขัดแย้งในเรื่องเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์มาลายูเปรียบได้ดังเชื้อเพลิงขอนไม้
ประเภทไฟสุมขอน แม้ว่าไฟจะถูกดับไปแล้วแต่ถ้าได้ลมหรือออกซิเจนซึ่งได้แก่
ความไม่ยุติธรรม การถูกรังแกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ อีกเมื่อไหร่ฟืนก็พร้อมที่จะให้ไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งได้ตลอดเวลาและยิ่งฝ่ายรัฐเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองตำรวจ
ทหารใช้วิธีการที่เน้นความรุนแรงเพิ่มเติมเมื่อไหร่
ก็จะเปรียบได้ดังน้ำมันที่ถูกสาดเข้าไปในกองไฟนั่นเอง
การสนับสนุนจากภายนอกประเทศที่สำคัญอีกประการคือเงินทุนสำหรับการเคลื่อนไหว
ซึ่งมักจะได้รับเงินบริจาคจากกลุ่มตระกูลร่ำรวยในบรรดาประเทศมุสลิม
ส่วนภายในพื้นที่ก็มีการเรี่ยไรขอบริจาค
การระดมเงินทุนอาจจะกระทำกันในนามขององค์กรการกุศลต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีแหล่งเงินทุนหลักจากการสนับสนุนของผู้เลื่อมใสต่อแนวทางการต่อสู้ของขบวนการ
รายได้หลักอีกส่วนหนึ่งจะได้มาจากการเรียกเก็บค่าคุ้มครองในผลประโยชน์ต่างๆ
รวมถึงการจับคนเรียกค่าไถ่ด้วยเช่นกัน
เงินทุนของขบวนการเหล่านี้ก็จะหมดไปกับภาระค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการปฏิบัติการ
การดำเนินงาน และการจัดสวัสดิการให้กับสมาชิกนั่นเอง
กล่าวได้ว่าในระหว่างปี
พ.ศ. ๒๕๑๑-๒๕๒๒ เป็นช่วงเวลาที่กองกำลังติดอาวุธของขบวนการทั้งสามกลุ่มปฏิบัติการได้เข้มแข็งมากที่สุด
ทั้งด้วยการดักซุ่มและเข้าโจมตีฐานที่ตั้งของเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยราชการอื่นๆ
เป็นระยะ
รวมทั้งมีการจับคนเรียกค่าไถ่และเรียกเก็บค่าคุ้มครองกับนักธุรกิจที่มีบริษัทห้างร้านอยู่ในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง
การเคลื่อนไหวเหล่านี้ทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐตลอดถึงคนไทยโดยทั่วไปพากันไม่เห็นด้วยกับการกระทำเยี่ยงโจรโดยใช้ศาสนาบังหน้าของกลุ่มบุคคลเหล่านี้
รัฐบาลไทยต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติพิเศษที่เป็นกองกำลังผสมทหาร ตำรวจ และอาสาสมัครรักษาดินแดน (อ.ส.)
ร่วมกันปฏิบัติการในพื้นที่
ตัวเลขของรัฐบาลยอมรับว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีรายงานเหตุการณ์ปะทะกับกองกำลังชาวมาเลย์มุสลิมจำนวน
๓๘๕ ครั้ง ชาวมาเลย์มุสลิมเสียชีวิตจำนวน ๓๒๙ ราย เข้ามอบตัวกับทางการ ๑๖๕ ราย
ถูกจับกุมอีก ๑,๒๐๘ ราย ยึดอาวุธปืนได้เป็นจำนวน ๑,๕๔๖ กระบอก
และเผาทำลายค่ายพักของขบวนการได้อีก ๒๕๐ แห่ง
แต่การสูญเสี่ยที่ร้ายแรงที่สุดนั้นตกอยู่กับ
ประชาชนผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ทุกหมู่เหล่า ทุกศาสนา
ดังจะเห็นได้จากอัตราการเสียชีวิตของผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ ที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
ดินแดนแห่งนี้อยู่ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโบราณ
ดังเช่น อาณาจักรศรีวิชัยและอาณาจักรลังกาสุกะมาก่อน
ภายหลังเมื่อสยามเรืองอำนาจ
สยามได้เข้าไปมีบทบาทในดินแดนแห่งนี้เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันแต่ชาวมาเลย์มุสลิมบางส่วนในพื้นที่มองว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนของตนโดยไม่ได้มองถึงความจริงทางประวัติศาสตร์
ว่าก่อนที่มุสลิมจะเข้ามามีบทบาทชาวพุทธและฮินดูได้ฝังรากอาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้มาก่อนตน
ชาวมาเลย์มุสลิมบางส่วนยังมองว่ารับบาลไทยได้รวบอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลางอำนาจรัฐที่กรุงเทพฯ
และดำเนินนโยบายผสมกลมกลืนชนชาวมาเลย์มุสลิมอย่างต่อเนื่อง
แต่ในความเป็นจริงที่กลุ่นคนเหล่านี้ไม่เคยอธิบายคือ ประเทศไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้งผู้แทนและผู้แทนส่วนใหญ่จากการเลือกตั้งก็เป็นคนในพื้นที่ทั้งสิ้น
บุคคลในพื้นที่ ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางทั่วประเทศก็มีอย่างเช่น ท่าน วันมูหะมัดนอร์ มะทา ที่ได้เคยเป็นถึงประธานรัฐสภา ปัญหาใดๆที่เกิดในพื้นที่
ควรได้รับการร้องเรียนผ่านผู้แทนของตน
แก้ปัญหาด้วยสันติวิธีตามแนวทางที่แท้จริงของชาวอิสลามที่รักสันติ
ไม่ใช่การแก้ปัญหาด้วยการต่อสู้ตามรูปแบบของขบวนการแบ่งแยกดินแดน และ
ทำร้ายประชาชนบริสุทธิ์ ไม่มีอาวุธไม่มีทางสู้ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ต้องการแบ่งแยกดินแดนในช่วงเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา
จึงถูกมองว่าเป็นการกระทำของกลุ่มคนที่ไม่หวังดี ไม่มีความคิดในการดำรงชีวิตด้วยสันติ
ตามหลักการที่ดีงามของศาสนาอิสลาม กลุ่มคนเหล่านี้พยายามนำความต้องการส่วนตัว
มาเกี่ยวของกับศาสนาอิสลาม อ้างว่า รัฐบาล พยายามเข้าควบคุมชุมชนชาวมาเลย์มุสลิม
เป็นการคุกคามต่อวัฒนธรรมประเพณีและศาสนาอันเป็นวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ของพวกเขา
ทั้งที่ในความเป็นจริงชาวมาเลย์ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียวที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
และก็ไม่ใช่ ชนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียวที่ไม่พอใจการทำงานบางอย่างของรัฐบาลไทย
แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มเดียว
ที่ไม่สามารถหาทางออกและแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธี ขบวนการแบ่งแยกดินแดนยังไม่อาจจะบรรลุเป้าหมายได้
เนื่องจากมีเหตุผลจากความแตกแยกระหว่างกัน และการไร้ประสิทธิภาพของขบวนการต่อสู้
และยังรวมถึงการขาดการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้านและรัฐบาลของประเทศมุสลิมอื่นๆ
ด้วย เนื่องจาก รัฐบาลของประเทศเหล่านั้นรู้ดีถึงความสำคัญของการแก้ปัญหาด้วยสินติวิธี
ตามแบบอย่างอันดีของศาสนาอิสลาม
รัฐบาลของประเทศเหล่านั้นจึงเลือกที่จะสร้างระบบความร่วมมือทางด้านไม่ว่าจะเป็นในด้านเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ
กับประเทศไทยมากกว่าที่จะส่งเสริมความรุนแรง
ปัจจุบันประเทศไทยไม่มีนโยบายบีบบังคับให้ประชาชนละทิ้งวัฒนธรรม และ ศาสนาดั้งเดิมของตนตามที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนใช้เป็นข้ออ้างแต่อย่างได้
รัฐบาลกลับสนับสนุนให้ประชาชนอนุรักษ์วัฒนธรรมพื้นบ้านของตนเองด้วยซ้ำไป
แต่นโยบายของรัฐในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการแบ่งแยกดินแดนด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ
เพียงอย่างเดียว ดูเหมือนจะไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ถูกต้องนัก นี่เป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดต่อๆไปต้องนำไปปรับปรุงแก้ไขให้สอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของคนในพื้นที่
ทุกหมู่ ทุกศาสนา
ในขณะที่รัฐบาลไทยมองเห็นปัญหาของการแบ่งแยกดินแดนว่าเป็นการท้าทายต่อเอกภาพของประเทศ
ชนชาติส่วนน้อยชาวมาเลย์มุสลิมกลับนิยามความหมายของการปกครองตนเองว่า
เป็นสิทธิพื้นฐานอันชอบธรรมของพวกเขาเอง
การเคลื่อนไหวเพื่อแบ่งแยกดินแดนจึงยังคงดำรงอยู่ตลอดมา
มีเพียงแต่ความตั้งใจที่จะนำเสนอแนวทางการสร้างสรรค์เอกภาพบนความแตกต่างหลากหลายเท่านั้น
ที่จะทำให้ขบวนการต่อสู้เพื่อแบ่งแยกดินแดนจำต้องลดบทบาทลงไป
จนหันเข้ามายอมรับกระบวนการบูรณาการแห่งชาติได้ในท้ายที่สุด
การที่รัฐเน้นความเป็นเอกภาพของประเทศเป็นหลัก
จนกลายเป็นการละเลยความสำคัญของความมั่นคงของมนุษย์และสิทธิมนุษย์ชนลงไปในระดับที่ด้วยกว่าความมั่นคงของชาติ
จึงได้สรุปภาพรวมของของปัญหาได้ดังนี้
ด้านการเมืองมองว่าความขัดแย้งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัจจัยบางส่วนมาจากศาสนา
ซึ่งก่อนจากมุมมองที่ต่างกันระหว่างรัฐกลับประชาชนมุสลิมในพื้นที่
จนกลายเป็นความขัดแย้งตามมา ปัจจัยต่อมาเกิดจากความเข้าใจต่อประวัติศาสตร์ทางการเมืองของปัตตานีที่แตกต่างกันระหว่างฝ่ายรัฐกับประชาชนในพื้นที่
โดยมีผลต่อการกำหนดความสัมพันธ์กันอย่างเลี่ยงไม่ได้ทั้งสองปัจจัยนี้ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจึงเป็นสาเหตุของปัญหาทางการเมืองปัจจัยสุดท้ายเกิดจากกลไกของรัฐที่เอื้อต่อการเกิดความขัดแย้งจนกลายเป็นความรุนแรงในพื้นที่
ประกอบกับความอ่อนแอของสังคมไทยได้กลายเป็นแรงเสริมในการทำงานของรัฐชอบธรรมยิ่งขึ้น
ซึ่งเห็นได้จากนโยบายของรัฐในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ด้านเศรษฐกิจเกิดขึ้นจาก
๒ ปัจจัย กล่าวคือความยากจน ซึ่งเป็นสาเหตุให้ประชาชนในพื้นที่บางส่วนอพยพออกจากพื้นที่เพื่อหาเลี้ยงชีพ
หรืออีกนัยหนึ่งคือ
การขาดความมั่งคงในการดำเนินชีวิตโดยเห็นว่าควรมีการพัฒนาทักษะทางวิชาชีพแก่ประชาชนที่สอดคล้องกับความหลากหลายของทรัพยากรในพื้นที่เพื่อสร้างจุดแข็งให้กับเศรษฐกิจในท่องถิ่นนอกจากปัญหาความยากจนแล้ว
ปัญหาการเรื่องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติของชุมชนก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งตามมาโดยนอกจากจะเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐกับประชาชนแล้วยังเป็นความขัดแย้งระหว่างประชาชนในพื้นที่อีกด้วย
เพราะฉนั้นรัฐต้องสร้างความชัดเจนในเรื่องสิทธิในการเข้าถึงทรัพยากรของชุมชนโดยคำนึงถึงคุณประโยชน์ที่ประชาชนพึงได้รับอย่างทั่วถึง
ด้านสังคมและวัฒนธรรม
มองว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการที่รับไทยขาดความเข้าใจในอัตลักษณ์ของความเป็นมุสลิมของคนในพื้นที่จนกลายเป็นความกดทับอัตลักษณ์ของความเป็นมุสลิมลงไป
และถูกแทนที่ด้วยความเป็นไทยที่รัฐพยายามสร้างให้ประชาชนในพื้นที่
ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดจากสาเหตุด้านการศึกษา
มีที่มาจากความพยายามที่รัฐจะเข้าไปควบคุมการศึกษาของสถาบันปอเนาะซึ่งเป็นแหล่งให้การศึกษาดั้งเดิมของศาสนาอิสลาม
จากการเข้าควบคุมการศึกษาของปอเนาะ รวมถึงการจัดการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้สอดคล้องกับหลักสูตรที่ใช้อยู่ทั่งประเทศได้กลายเป็นชนวนให้เกิดการปฏิเสธระบบการศึกษาไทยของคนในพื้นที่บางส่วน
การแก่ปัญหาจึงต้องเริ่มจากการปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องกับท้องถิ่น
รวมถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรทางการศึกษาโดยตั้งอยู่บนความหลากหลายทางวัฒนธรรมและประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับมากที่สุด
คนสัญชาติไทยเชื้อชาติมาลายูในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยในประเทศไทย
ก็พยายามรักษาอัตลักษณ์เผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์ของตนเอาไว้ด้วยชีวิตเช่นเดียวกัน ปัญหาในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงถูกบิดเบือนให้เป็นเรื่องของความขัดแย้งในศาสนา
ทั้งที่ความจริงเป็นความขัดแย้งในเรื่องเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์มาลายูล้วนๆ ผสมรวมกับปัญหาผลประโยชน์ ปัญหายาเสพติด ความไม่ยุติธรรม
การถูกรังแกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำให้เรื่องความขัดแย้งที่นำไปสู่ความรุนแรงจึงมีลักษณะพิเศษที่ จุดติดง่ายและดับยาก กลุ่มขบวนการเปรียบได้ดังไม้ขีดไฟหรือชนวน
ความขัดแย้งในเรื่องเผ่าพันธุ์เชื้อสายชาติพันธุ์มาลายูเปรียบได้ดังเชื้อเพลิงขอนไม้
ประเภทไฟสุมขอน แม้ว่าไฟจะถูกดับไปแล้วแต่ถ้าได้ลมหรือออกซิเจนซึ่งได้แก่
ความไม่ยุติธรรม การถูกรังแกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
อีกเมื่อไหร่ฟืนก็พร้อมที่จะให้ไฟลุกโชนขึ้นมาอีกครั้งได้ตลอดเวลาและยิ่งฝ่ายรัฐเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองตำรวจ
ทหารใช้วิธีการที่เน้นความรุนแรงเพิ่มเติมเมื่อไหร่
ก็จะเปรียบได้ดังน้ำมันที่ถูกสาดเข้าไปในกองไฟนั่นเอง ด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ภาษา ศาสนา อันเป็นเอกลักษณ์ของชายแดนใต้
นำมาซึ่งความต้องการรักษาอัตลักษณ์นั้นไว้ แต่แปรเปลี่ยนเป็นความไม่เข้าใจ
นำสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงในที่สุด
แต่ด้วยความเข้าใจอย่างแท้จริงซึ่งความแตกต่างนั้น จะสามารถนำความสันติสุขคืนมาได้ดังเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น