บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง โรคอ้วนกับการบริโภค
ในช่วง 10 ที่ผ่านมา คนไทยประสบปัญหาโรคอ้วนในเด็กมากที่สุดในโลก และในปี 2553
ที่ผ่านมา เรื่องราวผู้มีภาวะโรคอ้วนรุนแรง
ขนาดต้องใช้เครื่องจักรขนย้ายร่างกายออกจากที่พักอาศัย เพื่อนำส่งโรงพยาบาล
ถูกจุดกระแสอยู่ชั่ววูบหนึ่งก่อนจางหาย นับเป็นหนึ่งในข่าวคราวมหันตภัยจากความอ้วนล้นเกินที่แพร่กระจายอยู่ในสังคม
กระนั้น โรคอ้วนกลับไม่มีที่ท่าหยุดแพร่ระบาด
หากแต่ทวีความรุนแรงจากแรงโหมกระตุ้นการบริโภคด้วยพลังทางการตลาด ขณะเดียวกันปฏิกิริยาสะท้อนกลับของการรณรงค์กลับเพราะความเกลียด
ความกลัวความอ้วน และการโหยหาร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งกระตุ้นการบริโภคในอีกรูปแบบหนึ่ง ความอ้วนนำมาซึ่งโรคภัยไข้เจ็บมากมาย
นี่เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายคนพยายามจะลดความอ้วนให้ได้
แต่จะลดความอ้วนได้อย่างไรในเมื่อมีของอร่อยๆ คอยยั่วยวนตลอดเวลา
ไม่ว่าตามร้านอาหารซูเปอร์มาเก็ต หรือแม้แต่ในห้องนอนก็มีโฆษณามากระตุ้นกิเลส
คนเป็นอันมากพร้อมทำทุกอย่างเพื่อลดความอ้วน จะให้อบเซาน่าก็ได้ ดูดไขมันก็ยอม
ขอเพียงอย่างเดียวคือขอให้ได้กินอย่างสะดวกปากอย่างเคยก็แล้วกัน
ด้วยเหตุนี้เมื่อมีข่าวว่าต่อไปในอนาคตเราสามารถลดความอ้วนได้โดยเพียงแค่เปลี่ยนถ่ายยีน
หรือฉีดเลปตินเข้าไป หลายคนจึงรู้สึกเหมือนกับจะได้ขึ้นสวรรค์เลยทีเดียว
ปัญหาจากการบริโภคมากเกินไปไม่เพียงรังควานสิ่งแวดล้อมเท่านั้น
หากยังตามมาถึงเนื้อถึงตัวเราและฝังอยู่ใต้ผิวหนังตลอดจนตามเส้นเลือดต่างๆ
ในรูปไขมัน เราถูกกระตุ้นให้บริโภคไม่หยุดด้วยความเชื่อว่าการบริโภคจะให้ความสุขแก่เรา
และเมื่อมีปัญหาจากการบริโภคขึ้นมา
เราก็ถูกทำให้เชื่อว่าและหวังว่าด้วยการบริโภคนั่นแหละ ปัญหาจะแก้ไขได้
ถ้าอ้วนนักหรือก็มี “ยาวิเศษ” ให้บริโภค
ถ้าเป็นโรคหัวใจก็ไม่ต้องทำอะไรดอก เพียงแต่ “บริโภค”
บริการทางการแพทย์จากโรงพยาบาลชั้นหนึ่ง ซึ่งอ้างว่ามีเทคโนโลยีนานาชนิดที่จะช่วยได้
ถ้าอากาศเป็นพิษมากเกินไปก็แก้ไขได้โดยการบริโภคน้ำมันไร้สารตะกั่วหรือซื้อรถยนต์ที่มีเครื่องกรองมลพิษ
หากเป็นห่วงว่าขยะจะท่วมเมือง ถุงย่อยสลายง่ายก็กำลังรอให้ท่านมาซื้อ
การเลือกเฟ้นสินค้าสำหรับบริโภค
เป็นสิ่งจำเป็นอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หากไม่ควบคุมการบริโภคให้อยู่ในขอบเขตแล้วก็ยากที่จะแก้ปัญหาได้
ปัญหามลพิษท่วมเมืองนั้น ลำพังเราคนเดียวคงแก้ไม่ได้
แต่ถ้าเป็นปัญหาไขมันเต็มร่างกายแล้วการรู้จักประมาณในการบริโภค
เป็นวิธีแก้ปัญหาที่สำคัญเป็นอันดับแรกเลยทีเดียว
การค้นพบยีนอ้วนในด้านหนึ่งก็อาจช่วยให้เรามีปัญญา
เกิดความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติของตนเองดีขึ้น
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ง่ายที่จะถูกกระแสบริโภคนิยมครอบงำจนทำให้ผู้คนขาดปัญญา
เพราะแทนที่จะแก้ปัญหาน้ำหนักล้นเกินให้ตรงจุด ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบริโภค
กลับมามีมายาคติหนักกว่าเดิม ว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยหากมี “ยาวิเศษ” ออกมาขาย บางคนทำท่าจะไปไกลมากกว่านั้น
ทันทีที่รู้ข่าวดังกล่าวก็สรุปว่า
ที่ตนเองไม่สามารถลดน้ำหนักลงได้ก็เพราะเจ้ายีนตัวนี้นี่เอง
ความรับผิดชอบแทนที่จะอยู่ที่ตัวเองกลับถูกผลักให้ไปตกอยู่ที่ยีนตัวนี้
กลายเป็นแพะรับบาปในทันที เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เลยหมดความเพียร
คอยแต่ว่าเมื่อไรถึงจะมีการผลิตยาลดความอ้วนที่ว่าเสียที
ยีนอ้วนจะมีอยู่ในคนหรือไม่
ยังเป็นเรื่องที่ต้องศึกษากันต่อไป แต่ถึงมีจริง
ก็ใช่ว่าชีวิตเราจะต้องตกอยู่ใต้การบงการของยีนดังกล่าวไปเสียทั้งหมด
คนเรานั้นเป็นอะไรได้มากกว่าปฏิกิริยาทางชีวเคมีที่กำหนดโดยยีนในเซลล์
ยีนแม้จะมีบทบาทสำคัญแต่พฤติกรรมของเราเองก็มีบทบาทสำคัญไม่น้อยในการกำหนดชะตากรรมของเรา
มีหลายโรคที่มีสาเหตุมาจากยีนผิดปกติแต่ปรากฏว่าคนเป็นอันมากที่มียีนดังกล่าวหาเป็นโรคดังกล่าวไม่
ทั้งนี้เนื่องจากเกี่ยวข้องกับอาหารและสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้อง
การปรับปรุงพฤติกรรมการบริโภคและวิถีการดำเนินชีวิตเป็นมาตรการลดความอ้วนที่วางใจได้มากที่สุด
จะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องรู้เท่าทันกระแสบริโภคนิยม
ไม่หลงตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาชวนเชื่อที่คอยปลุกเร้าให้ต้องบริโภคไม่หยุดหย่อน
กระแสบริโภคนิยมนั้นไม่เพียงแต่จะเอารสอร่อยของสิ่งเสพมายั่วยวนให้เราเกิดความอยากเท่านั้น
หากยังเอาภาพพจน์และรูปลักษณ์มาล่อ คนเป็นอันมากจึงไม่ได้กินน้ำอัดลม
แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ตลอดจนอาหารต่างๆ
ที่บ่มไขมันได้ดีเพียงเพื่อหวังความเอร็ดอร่อยเท่านั้น หากยังต้องได้ชื่อว่าเป็นคนทันสมัย
มีรสนิยมและดูโก้เก๋
กล่าวได้ว่าความอ้วนนั้นเป็นผลผลิตของสังคมบริโภคโดยแท้
ที่พูดนี้มิใช่ว่า สังคมอื่นหรือในอดีตไม่มีคนอ้วน คนอ้วนมีมาทุกยุคทุกสมัย
แต่ไม่เคยเป็นปัญหาของคนหมู่มากอย่างในปัจจุบัน
อันที่จริงสังคมบริโภคไม่เพียงแต่จะสร้างปัญหาความอ้วนขึ้นมาโดยการส่งเสริมให้ผู้คนพอกพูนไขมันตามร่างกายอย่างเป็นล่ำเป็นสันเท่านั้น
ปัญหาความอ้วนส่วนหนึ่งยังเกิดขึ้นเพราะผู้คนถูกทำให้รู้สึกว่าตนมีร่างกายอ้วนน้ำหนักเกิน
เวลานี้คนเป็นอันมาก ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่พากันรู้สึกว่ารูปร่างของตนไม่ได้ “มาตรฐาน” คำถามคือ “มาตรฐาน”
ดังกล่าวได้มาอย่างไร? จริงอยู่ปัจจุบันมีการกำหนดเกณฑ์วัดโดยอาศัย
“ดรรชนีความหนาของร่างกาย” แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเอาน้ำหนักตัวหารด้วยความสูงยกกำลังสองหารได้ผลลัพธ์เกิน
๒๕ ก็แสดงว่าอ้วนแล้ว ถ้าเช่นนั้น “มาตรฐาน” ที่ว่านั้นเอามาจากไหน? คำตอบคือเอามาจากสื่อต่างๆ
โดยเฉพาะสื่อเพื่อการโฆษณาและการบันเทิง ซึ่งมุ่งเพื่อการบริโภคโดยตรง
รูปร่างทรวดทรงของพรีเซนเตอร์
ดาราและนางแบบได้กลายมาเป็นมาตรฐานที่คนทั่วไปเอามาเปรียบเทียบกับตัวเองหรือผู้อื่น
แต่จะมีสักกี่คนที่มีรูปร่าทรวดทรงเช่นนั้นผลก็คือความรู้สึกว่าร่างกายของตนเป็นปัญหาจึงเกิดขึ้นกับคนเป็นอันมาก
ถ้าไม่รู้สึกว่าเตี้ยเกินไป หน้าอกเล็กเกินไป ก็คิดว่าอ้วนเกินไป
ความรู้สึกที่ไม่พอใจในร่างกายของตนนั้นจะเรียกว่าเป็นปรากฏการณ์เฉพาะตัวของสังคมบริโภคก็ย่อมได้
สมัยก่อนนั้นไม่ค่อยมีการกำหนดรูปร่างที่เป็น “มาตรฐาน” อย่างเวลานี้ จริงอยู่ทุกสังคมต่างก็มีเกณฑ์ความงามกันทั้งนั้น
แต่ก็มักเป็นที่อุดมคติจนหลุดลอยจากความเป็นจริงเวลากวีพรรณนาความงามของนางสีดาหรือบุษบา
ใครๆ ก็รู้ว่าคนแบบนี้มีอยู่เฉพาะในวรรณคดีเท่านั้น ภาพปั้นหรือภาพวาดแม้จะงามเพียงใด
ก็เป็นแค่จินตนาการ ต่อเมื่อมีการคิดค้นกล้องถ่ายรูป ภาพยนตร์และโทรทัศน์
คนส่วนใหญ่จึงมีโอกาสเห็นทรวดทรงความงามที่เป็นจริง(ทั้งของหญิงและชาย)
แต่สื่อเหล่านั้นมาถูกใช้อย่างจริงจัง
เพื่อให้ผู้ชมการเกิดลอกเลียนเอาอย่างความงามเหล่านั้นก็ในยุคบริโภคนิยมนี้เอง
การโหมประโคมโฆษณาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยภาพพรีเซนเตอร์ มีรูปร่าง “สมส่วน” ทำให้เกิดทัศนคติอย่างแพร่หลายว่ารูปนั้นเป็นทรัพย์ที่สำคัญอย่างยิ่ง
เพราะสามารถเป็นปัจจัยให้ได้คู่ครองที่งดงาม
เป็นที่ไว้วางใจของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชาและยังอาจถางทางไปสู่อำนาจได้ด้วย
แต่ยิ่งให้คุณค่ากับรูปร่างที่เป็น “มาตรฐาน” เพียงใด
ความทุกข์ก็ยิ่งมากเพียงนั้นเมื่อพบว่าตนเองไม่สามารถมีร่างกายเช่นนั้นได้
กระแสบริโภคนิยมในด้านหนึ่งพยายามกระตุ้นให้เราบริโภคจนอ้วน
แต่ถ้าหากเราไม่อ้วน เราก็จะถูกโน้มน้าวให้รู้สึกว่าตนเองมีรูปร่างอ้วน(เพราะไม่เข้ากับ”มาตรฐาน”ที่เขากำหนด)สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกเป็นทุกข์เพราะความอ้วนถูกวาดภาพให้เป็นสิ่งเลวร้ายมิใช่เลวร้ายเพราะก่อปัญหาทางด้านสุขภาพเท่านั้น
ความอ้วนเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นก็เพราะถูกวาดภาพว่าเป็นอุปสรรคกีดขวางไม่ให้ตนได้สิ่งปรนเปรอคือเงินทอง
คู่ครอง ความโดดเด่นเป็นที่นิยมและอำนาจ
ไม่มีอะไรที่จะมีความหมายต่อชีวิตในยุคบริโภคนิยมเท่ากับสิ่งเหล่านี้
เมื่อเป็นเช่นนี้การลดความอ้วน(ทั้งๆที่อาจจะไม่อ้วน)
จึงเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตขึ้นมา ผลก็คืออุตสาหกรรมลดความอ้วนเติบโตอย่างรวดเร็ว
รวมไปถึงธุรกิจทางด้านรูปลักษณ์ทรวดทรง
ปัจจุบันคนอเมริกันใช้จ่ายทางด้านปรับปรุงทรวดทรงและประทินโฉมรวมกันทั้งประเทศแล้วมากกว่าค่าใช้จ่ายทางด้านการศึกษาและบริการสังคมเสียอีก
ความอ้วนจึงไม่ใช่ปัญหาทางสรีระเท่านั้น
หากยังเป็นปัญหาทางทัศนคติ การแก้ปัญหานี้ด้วยการพยายามจัดการกับร่างกายของตนจึงหาเพียงพอไม่
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการปรับทัศนคติของตนเองเพื่อไม่ให้หลงติดกับภาพ “มาตรฐาน” ซึ่งสื่อต่างๆ ได้เสกสรรปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อล่อให้เราหลงบริโภคมากขึ้น
เราอาจมีกรรมวิธีมากมายที่ช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ไม่มีเทคโนโลยีใดๆ จะช่วยเราในเรื่องการปรับทัศนคติ
สติปัญญาของเราต่างหากที่จะเป็นที่พึ่งของเราได้อย่างแท้จริง
หลักการและเหตุผล
โรคอ้วนเป็นภาวะที่ร่างกายมีไขมันในร่างกายมากเกิน
เนื่องมาจากได้รับพลังงาน จากอาหารมากเกินกว่าที่ใช้
พลังงานส่วนเกินจะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมัน จึงทำให้ร่างกาย
มีนํ้าหนักมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ อาทิ โรคเบาหวาน
โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคข้อเสื่อม รวมถึงโรคมะเร็ง
นอกจากนี้ผู้มีปัญหาโรคอ้วนยังประสบ ปัญหาทางด้านจิต สังคม
และหน้าที่การงานร่วมด้วย สร้างปัญหาทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ ได้อีกทางหนึ่ง ปัจจุบันแนวโน้มการบริโภคอาหารของคนไทยเปลี่ยนไป
มีการยอมรับวัฒนธรรมการบริโภคอาหารตะวันตกมากขึ้น
การบริโภคอาหารของคนไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบสังคมเมืองมากขึ้น
โดยเน้นความสะดวกสบายและรวดเร็วเป็นหลัก มีการรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น นิยมรับประทานอาหารปรุงสำเร็จรูป
อาหารเร่งด่วนหรืออาหารฟาสต์ฟู้ดเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะพฤติกรรมการรับประทานอาหารฟาสต์ฟู้ดจากตะวันตก
ซึ่งมีระดับของพลังงานที่สูง อีกทั้งยังขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ
ซึ่งมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วนได้ง่าย และนำมาซึ่งสาเหตุ การเพิ่มจำนวนของโรคเบาหวานที่เกิดขึ้นทั้งในเด็กและผู้ใหญ่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำนวนเด็ก และวัยรุ่นที่เป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น คนไทยกำลังประสบปัญหาทางสุขภาพสำคัญที่เรียกว่าโรคอ้วนลงพุง
หรือเมตาโบลิกซินโดรม (metabolic
syndrome) ปัจจัยทางด้านรูปแบบการกินอาหาร หรือบริโภคนิสัยที่
ไม่เหมาะสม และการไม่ออกกำลังกาย
ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็น
สาเหตุหลักของการเกิดโรคอ้วนลงพุง พฤติกรรมการกินอาหารของคนไทยที่เปลี่ยนไป
กินอาหารที่มีไขมัน โปรตีน และน้ำตาลสูง แต่มีใยอาหารต่ำ มีรสเค็มจัด
และเป็นอาหารที่ผ่านขบวนการเป็นส่วนมาก ประกอบกับการบริโภคในปริมาณที่มาก
และไม่ได้ออกกำลังกาย ทำให้มีผลกระทบต่อภาวะสุขภาพจิตในเชิงลบ
นำไปสู่การเจ็บป่วยและการตายด้วยโรคอ้วน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคเบาหวาน
และความดันโลหิตสูง
ซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศในขณะนี้ทิศทางการป้องกันโรคอ้วนลงพุง หรือ
เมตาโบลิกซินโดรม
ในปัจจุบันได้หันมาให้ความสำคัญของการปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต
ที่รวมถึงการบริโภคอาหารและการออกกำลังกาย เป็นหลัก คำแนะนำต่างๆ
จะเน้นที่รูปแบบการกินอาหาร
โดยให้ความสำคัญของรูปแบบการกินอาหารที่มาจากพืชเป็นหลัก เช่น การบริโภคผัก ผลไม้
และธัญชาติที่ขัดสีแต่น้อย
เป็นประจำเพื่อให้มีโอกาสได้รับใยอาหารในปริมาณที่มากขึ้นเพื่อป้องกันการเกิดโรคดังกล่าว
เน้นการบริโภคเนื้อสัตว์ในปริมาณน้อย เนื้อสัตว์ส่วนใหญ่ได้จากปลา
ส่วนไขมันที่แนะนำจะเน้นที่คุณภาพไขมัน
โดยแนะนำให้บริโภคอาหารที่เป็นแหล่งของไขมันไม่อิ่มตัวทั้งชนิดที่เป็น mono
– และ polyunsaturated fat ในปริมาณที่เหมาะสม
กินผักมากขึ้น ลดอาหารหวาน มัน เค็ม และกิน อาหารให้หลากหลาย
โรคอ้วนคือ
ร่างกายของเราจะมีไขมันไว้เพื่อสำรองเป็นอาหาร ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
เป็นเบาะกันกระแทกหากมีมากเกินไปคือโรคอ้วน ปกติผู้หญิงจะมีปริมาณไขมันประมาณ
25-30% ส่วนผู้ชายจะมี 18-23 %ถ้าหากผู้หญิงมีมากกว่า 30% ชายมีมากกว่า
25%จะถือว่าโรคอ้วน โรคอ้วนหมายถึงมีปริมาณไขมันมากกว่าปกติ
โรคอ้วนมิได้หมายถึงการมีน้ำหนักมากอย่างเดียว
โรคอ้วนที่มีผลร้ายต่อสุขภาพมีอยู่
3
ประเภทได้แก่
-อ้วนทั้งตัว
ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีไขมันทั้งร่างกายมากกว่าปกติโดยไขมันที่เพิ่มมิได้จำกัดอยู่ที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง
-โรคอ้วนลงพุง [abdominal obesity] ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีไขมันในอวัยวะภายในช่องท้องมากกว่าปกติ
และอาจจะมีไขมันใต้ผิวหนังหน้าท้องเพิ่มขึ้นด้วย
-โรคอ้วนลงพุ่งร่วมกับอ้วนทั้งตัว มีไขมันมากทั้งตัวและอวัยวะภายในช่องท้อง
การวัดปริมาณไขมันในร่างกาย
-การวัดปริมาณไขมันในร่างกายไม่ใช่เรื่องง่าย
โดยมากมักจะทำในห้องปฏิบัติการณ์เพื่อการวิจัย
-การชั่งน้ำหนักในน้ำแล้วนำมาคำนวณหาปริมาณไขมันและปริมาณกล้ามเนื้อเป็นวิธีที่มีความแม่นยำ
แต่ก็ทำในห้องปฏิบัติการเท่านั้น
-BOD
POD เป็นการตรวจโดยเครื่อง x-ray รูปไข่ เครื่องจะคำนวณหาปริมาณกล้ามเนื้อ
ไขมันจากความเข้มของเนื้อเยื่อ
DEXA: Dual-energy X-ray absorptiometry (DEXA) เป็นการใช้ x-ray หาปริมาณไขมัน
โรคอ้วนจำเป็นต้องรักษาหรือไม่
ก่อนหน้านี้คนอ้วนไม่ถือเป็นโรคอ้วนแต่ปัจจุบันจัดเป็นโรคอ้วนเนื่องจากก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ
โรคอ้วนเป็นโรคเกิดจากสาเหตุหลายๆอย่างทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
ผู้ที่ลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วน้ำหนักก็จะขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยเช่นกัน
การรักษาโรคอ้วนได้เปลี่ยนไปจากอดีตที่นิยมให้ลดน้ำหนักเข้าสู่เกณฑ์ปกติอย่างรวดเร็วมาเป็นให้ลดน้ำหนักแบบค่อยๆเป็น
โดยกำหนดเป้าหมายที่สามารถปฏิบัติได้
การลดน้ำหนักเพียงบางส่วนสามารถก่อให้เกิดผลดีต่อสุขภาพ
การรักษาโรคอ้วนให้รักษาตลอดชีวิตเหมือนโรคเบาหวาน ได้มีการศึกษาในประเทศไทยพบว่าผู้ที่เป็นโรคอ้วนจะมีระดับ
ไขมัน Cholesterol,
triglyceride LDL ระดับน้ำตาล ละความดันโลหิตสูงกว่าผู้ที่มีน้ำหนักปกติ
ปัญหาของดัชนีมวลกายที่จะนำมาใช้อ้างอิงว่าอ้วนหรือไม่คงจะใช้ตัวเลขเดียวกันทั่วโลกไม่ได้
ฝรั่งจะมีโครงสร้างใหญ่กว่าชาวเอเชีย
ดัชนีมวลกายของฝรั่งจึงจะค่อนข้างสูงกล่าวคือจะถือว่าน้ำหนักเกินเมื่อดัชนีมวลกายมากกว่า
25 กก/ตารางเมตร ส่วนชาวเอเชียเราจะถือว่าน้ำหนักเกินคือดัชนีมวลกายมากกว่า 23
กก/ตารางเมตร
เนื่องจากเมื่อดัชนีมวลกายเกินค่าดังกล่าวจะมีอุบัติการณ์ของโรคเบาหวาน
ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูงสูง จะเห็นว่าคนอ้วนมีโอกาสที่จะเกิดโรคมากมาย
และผลดีของการลดน้ำหนักสามารถลดอัตราการเกิดโรคได้หลายชนิด และลด อัตราการตายได้
สมควรถึงเวลาที่จะหยุดความอ้วน
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วน
คนเรารับประทานอาหารเข้าไปไม่ว่าจะเป็นประเภทแป้ง
หรือโปรตีนหากพลังงานที่ได้รับเกินความต้องการ
ร่างกายก็จะสะสมอาหารส่วนเกินเหล่านั้นในรูปไขมัน สะสมมากขึ้นจนกลายเป็นโรคอ้วน
ดังนั้นคนที่อ้วนเกิดจากเรารับอาหารที่มีพลังงานมากกว่าพลังงานที่เราใช้ไป
สาเหตุจริงๆยังไม่ทราบแน่ชัด โรคอ้วนมักจะมีสาเหตุต่างๆดังนี้
-การรับประทานอาหาร
หากรับประทานอาหารที่ให้พลังงานสูงเป็นประจำ จะให้น้ำหนักเกินโดยเฉพาะอาหารที่มีไขมัน
และแป้งสูงซึ่งมักจะพบในอาหารจานด่วน
-ประเภทของอาหาร
โดยเฉพาะผู้ที่ชอบรับประทานอาหารที่มีน้ำตาล ไม่ว่าจะเป็นกลูโคส sugars,
fructose, น้ำหวาน เครื่องดื่ม ไวน์ เบียร์
อาหารเหล่านี้จะดูดซึมอย่างรวดเร็ว และทำให้ร่างกายหลั่งอินซูลินเป็นปริมาณมาก
ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นสาเหตุของโรคอ้วน
-ภาวะที่ร่างกายเผาพลาญพลังงานน้อย
ผู้ชายจะมีกล้ามเนื้อมากว่าผู้หญิง
กล้ามเนื้อจะเผาพลังงานได้มากดังนั้นผู้หญิงจึงอ้วนง่ายกว่าผู้ชายและลดน้ำหนักยาก
-ความผิดปกติทางจิตใจทำให้รับประทานอาหารมาก
เช่นบางคนเศร้า เครียด แล้วรับประทานอาหารเก่ง
-การดำเนินชีวิตอย่างสบาย
มีเครื่องอำนวยความสะดวดมากมาย และขาดการออกกำลังกาย มีรถยนต์ มีเครื่องทุ่นแรง
มีทีวีรายการดีๆให้ดู มีสื่อโฆษณาถึงน้ำหวาน น้ำอัดลม
เหล่านี้เป็นปัจจัยเสี่ยงโรคอ้วนตั้งแต่ในวัยเด็ก
โรคอ้วนในวัยรุ่น ชีวิตที่มีความสบาย
ขาดการออกกำลังกาย รับประทานอาหารไม่จำกัดเวลา ไม่จำกัดประเภท
และไม่จำกัดปริมาณเหล่านี้ทำให้เกิดโรคอ้วน เมื่ออ้วนก็ทำให้ออกกำลังได้ไม่เต็มที่
พบว่าวัยรุ่นหรือเด็กที่มีน้ำหนักเกินมักจะเกิดโรคอ้วนเมื่อเป็นผู้ใหญ่
น้ำหนักของผู้ชายจะเพิ่มจนคงที่เมื่ออายุประมาณ 50 ปี ส่วนผู้หญิงน้ำหนักจะเพิ่มจนอายุประมาณ
70 ปี
โรคอ้วนในเด็ก
เซลล์ไขมันในร่างกายจะมีช่วงที่เจริญเติบโตอยู่สองช่วงคือวัยเด็กและวัยรุ่น
กรรมพันธุ์เป็นตัวกำหนอให้แต่ละคนมีเซลล์ไขมันไม่เท่ากัน คนอ้วนจะมีเซลล์ไขมันมาก การอ้วนในเด็กจะมีปริมาณเซลล์ไขมันมากทำให้ลดน้ำหนักยาก
สานโรคอ้วนในผู้ใหญ่เกิดจากเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่
ความอ้วนเป็นสภาพร่างกายที่มีการเก็บสะสมไขมันส่วนเกินจนเห็นว่าร่างกายอ้วนขึ้น
ความอ้วนที่เกิดขึ้นแทบทุกรายเกิดจากการทานมากเกินไป และขาดการออกกำลังกายที่เพียงพอ
การคิดน้ำหนักที่เหมาะสมกับร่างกายทำได้ดังนี้
นักมาตรฐาน = (ส่วนสูงของร่างกาย cm/100)2*22 (ต้องระวังอย่างให้เกิน
10%)
ผลเสียจากโรคอ้วน มีการศึกษาพบว่าดัชนีมวลกายที่เหมาะอยู่ระหว่าง 21-25
เนื่องจากอัตราการเกิดโรคมะเร็ง โรคหัวใจต่ำและเมื่ออ้วนมากขึ้นก็จะเกิดโรคมาก
โรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน
-โรคหัวใจขาดเลือด -โรคความดันโลหิตสูง
-โรคหลอดเลือดสมอง
-โรคมะเร็ง
-โรคเบาหวาน -โรคถุงน้ำดี
โรคอ้วนที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของต่อมไร้ท่อ
ภาวะดื้ออินซูลิน
โรคอ้วนมีความสัมพันธ์กับภาวะดื้ออินซูลินโดยเฉพาะอ้วนลงพุง
พบภาวะนี้ได้บ่อยในผู้ที่ดัชนีมวลกายมากกว่า 40 กก/ตร.ม. ผลกระทบต่อระบบสืบพันธ์
พบว่าคนอ้วนเป็นหมันและปวดประจำเดือนได้บ่อยกว่าคนปกติ
คนอ้วนขณะตั้งครรภ์มีความเสี่ยงต่อโรคความดันโลหิตสูง แท้งบุตรได้บ่อย
โรคอ้วนที่สัมพันธ์กับสุขภาพ
-ข้อเสื่อม น้ำหนักที่มากเกินไปกดลงบนข้อทำให้เกิดข้อเสื่อมเร็วขึ้น
ปวดหลังกรดยูริกในเลือดสูง ทำให้เกิดโรคเก๊าได้บ่อยในคนอ้วน
-โรคทางเดินหายใจ ผู้อาจจะหยุดหายใจขณะหลับเป็นพักๆที่เรียกว่า sleep
apnea syndrome ทำหลับไม่สนิท
และมักเกิดอุบัติเหตุขณะขับรถกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ โรคเส้นเลือดขอด
เป้าหมายของการลดน้ำหนัก
การป้องกันการเพิ่มและการรักษานํ้าหนักตัว ปกติการตั้งเป้าหมายของการลดน้ำหนัก คือ 10% ของน้ำหนักตัว
มีความเป็นไปได้ที่ทำอย่างจริงจังและต่อเนื่อง อัตราการลดน้ำหนัก ไม่ควรเกิน
0.5 กิโลกรัม/สัปดาห์ (ปริมาณ พลังงานในการเผาผลาญไขมัน 7700
กิโลแคลอรี่/ก.ก.) ดังนั้นในเวลา 6 เดือน
การเผาผลาญ ไขมันจะทำให้น้ำนักลด 2-3 กิโลกรัม หลังจากนั้นมักจะไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงน้ำหนักมากนัก
หลังจากมีการใช้พลังงานของร่างกายลดลงเมื่อน้ำหนักลด
การที่จะลดน้ำหนัก
10% ในช่วง 6 เดือน มีข้อแนะนำว่า
คนที่น้ำหนักเกิน
ควรลด 300-500 กิโลแคลอรี/วัน
คนที่อ้วนควรลด
500-1000 กิโลแคลอรี/วัน
การลดน้ำหนักทำได้ในหลายลักษณะ
คือลดการบริโภคอาหาร เพิ่มการใช้พลังงาน ด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายและออกกำลังกาย
รวมทั้งการปรับพฤติกรรม
ลดการบริโภคอาหาร การลดปริมาณไขมันและลดปริมาณพลังงานที่ได้รับต่อวัน
การบริโภคอาหารที่มี โดยการลดไขมันและทดแทนด้วยคาร์โบไฮเดรต
ซึ่งให้ปริมาณพลังงานเท่าเดิมนั้น ช่วยลดปริมาณไขมันที่ร่างกายได้รับ แต่ไม่ได้ช่วยลดน้ำหนัก
เนื่องจาก ปริมาณพลังงานยังเท่าเดิมดังนั้นการปรับเปลี่ยนชนิดของอาหารที่บริโภคนั้นยังไม่พอควรลดการบริโภคอาหารลงด้วย
เพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย การลดน้ำหนัก
ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการลดปริมาณพลังงานจากอาหารที่ได้รับ ร่วมกับการเพิ่มการเคลื่อนไหวร่างกาย
จะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักที่ลดนั้นเพิ่มกลับมาอีก และยังช่วยระบบหัวใจหลอดเลือด
ลดความเสี่ยงการเกิดโรคเบาหวาน ซึ่งดีกว่าการลดการบริโภค อาหารเพียงอย่างเดียว
การเคลื่อนไหวและออกกำลังกายควรเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปทำประจำและสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะทำต่อเนื่องกัน
หรือจะแบ่งเป็นช่วงสั้น ซึ่งเมื่อนับรวมกันแล้ว ได้ผลลัพธ์ไม่ต่างกัน
(หรือที่เรียกกันว่าออกกำลังกายสะสม) ซึ่งงานวิจัยโดยอาสาสมัครที่ออกกำลังกายวันละ
30 นาที 3วัน/สัปดาห์เทียบกับอาสาสมัครที่ออกกำลังกาย 3
ครั้ง ครั้งละ 10 นาทีรวมเป็น 30 นาทีต่อวัน 3 วัน/สัปดาห์ ให้ผลไม่ต่างกัน
รวมทั้งการออกกำลังกาย แบบต้านแรง ผลที่ได้เมื่อเทียบการฝึก 1 เซท กับ 3 เซท พบว่าเพิ่มความแข็งแรงกล้ามเนื้อและ
เป็นประโยชน์ต่อสมรรถภาพร่างกาย กล่าวโดยสรุปการออกกำลังกายแบบสะสม ช่วยได้เช่นกัน
และยังมีความเป็นไปได้ในการที่จะแนะนำสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลา
ซึ่งสามารถแบ่งทำเป็นช่วงสั้นๆ
ปรับพฤติกรรม การปรับพฤติกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อคนๆ
นั้นมีประสบการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมทำให้เห็นผลที่ดีขึ้น
ทำให้มีความมั่นใจว่าตัวเองทำได้ และเมื่อได้รับความชื่นชมจากผู้คนและสังคมรอบด้าน
การเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่น รวมทั้งการตอกยํ้า และการให้รางวัล จะสร้างพลังแห่งความเชื่อมั่น
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจำเป็นต้องเป็นการดูแลตนเอง ทั้งเรื่องการดำเนินชีวิต
การบริโภคอาหาร การเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย ตลอดจนการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
ปัญหาของการเลือกอาหารของคนในสังคมเมืองนั้นมักจะเลือกตามความสะดวก
หาง่าย ประหยัด และตามกระแสสังคม
การเลือกอาหารจานด่วนของคนทางตะวันตกมักจะมีสัดส่วน ไขมันค่อนข้างสูง
ซึ่งปกติการแนะนำอาหารที่ดีไม่ควรมีสัดส่วนที่มาจากไขมันเกิน 30% ของพลังงาน ทั้งหมด (ซึ่งไม่ควรทานประจำ) การเลือกอาหารดังกล่าวควรควบคู่ไปกับการเพิ่มผัก
/ ผลไม้ และ ลดอาหารที่มีไขมันสูงในมื้อถัดๆ ไป ก็พอช่วยได้บ้าง
เพราะการได้รับอาหารพลังงานสูงและพลังงานส่วนใหญ่มาจากไขมัน
ทำให้ร่างกายสร้างไขมันเก็บสะสมในร่างกาย ถ้าสมดุลพลังงาน
การใช้มากกว่าการได้รับจะทำให้เกิดโรคอ้วนได้ง่าย
ความอ้วนเป็นตัวแบ่งระดับความรุนแรงของโรคในผู้สูงอายุ
หากอ้วนเกินไป ก่อนปัญหาโรคเบาหาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง
หลอดเลือดแข็งตัวไขมันในตับสูง น้ำตาลในเลือดสูง ประจำเดินมาน้อยหรือไม่มา
เป็นหมัน และมีโอกาสเป็นมะเร็งมดลูก หรือมะเร็งเต้านม เป็นต้น
สำหรับการไดเอ็ดในผู้ชายต้องควบคุมพลังงานให้อยู่ในปริมาณ 1,400-1,800
kcal, ผู้หญิง 1,200-1,600 kcal ต่อวัน โปรตีน
60-80 g ไขมันในเครื่องปรุงรส 1-2 ช้อนโต๊ะ
คาร์โบไฮเดรตน้อยกว่า 100 g ต่อวัน
นอกจากนี้ควรได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยอาหารจากพืชอย่างเพียงพอ
แม้การจำกัดพลังงานเป็นสิ่งจำเป็น แต่ก็ควรรับสารอาหารต่างๆ สมดุล เพื่อสุขภาพที่ดี
การรักษาโรคอ้วนจะพิจารณาจาก
1.ระดับความอ้วน และระดับเส้นรอบเอว
-ระดับความอ้วนเราสามารถวัดได้จากดัชนีมวลกายค่าปกติของคนประมาณ 20-25 กก/ตม.ระดับที่ต้องรักษาคือดัชนีมวลกายมากกว่า 30โดยที่ไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ
-เส้นรอบเอวจะบ่งบอกว่าคุณจำเป็นต้องรักษาหรือยัง ชายมากกว่า90 ซม.หญิงมากกว่า 80ซม.ภาวะดังกล่าวต้องรีบลดน้ำหนัก
-ผู้ที่มีดัชนีมวลกายน้อยกว่า 23
ไม่ต้องรักษานอกจากแนะนำให้ควบคุมน้ำหนักไม่ให้ขึ้น
2.ผู้ป่วยมีโรคเหล่านี้ร่วมด้วยจำเป็นต้องลดน้ำหนักอย่างรีบด่วน
-มีโรคหลอกเลือดหัวใจตีบร่วมด้วย เช่นเคยเจ็บหน้าอก
เคยนอนในโรงพยาบาลเพราะว่าเจ็บหน้าอก เคยผ่าตัดเส้นเลือดหัวใจ
หรือเคยถ่างหลอดเลือดหัวใจ
-มีโรคหลอดเลือดแดงแข็งร่วมด้วย เช่นหลอดเลือดแดงขาตีบ
หลอดเลือดแดงในท้องโป่งพอง หลอดเลือดแดงที่คอตีบ
-เบาหวานชนิดที่สอง
-เป็นโรค sleep apnea ผู้ป่วยจะนอนกรนเสียงดัง
และจะหยุดหายใจชั่วขณะและผู้ป่วยต้องตื่น ผู้ที่เป็น metabolic syndrome
3.ผู้ป่วยมีโรคที่เกิดจากความอ้วนหรือไม่ เช่น ข้อเสื่อม osteoarthritis
นิ่วในถุงน้ำดี gall stone ปวดประจำเดือน
ถ้าหากมีโรคดังกล่าวก็ต้องลดน้ำหนัก
4.ผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดหรือไม่
หากผู้ป่วยมีปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจำเป็นต้องลดน้ำหนัก
5.ปัจจัยเสี่ยงอย่างอื่น เช่นการขาดการออกกำลังกาย การแก้ไขให้ออกกำลังกาย
ไขมัน triglyceride ในเลือดสูง
การป้องกันโรคอ้วน
การป้องกันโรคอ้วน
ประเทศที่ประสบปัญหาเรื่องโรคอ้วนได้รณณรงค์ให้ประชาชน
เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
ส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายเพิ่ม แต่ก็มีประชาชนกลุ่มหนึ่งซึ่งจำเป็นต้องได้รับความรู้ปฏิบัติ
เพื่อให้ลดน้ำหนักลงอยู่ในเกณฑ์ปกติหากท่านมีดัชนีมวลกายอยู่ในกลุ่มนี้หรือมีโรคประจำครอบครัวดังในตารางข้างล่างท่านต้องป้องกันมิให้น้ำหนักเกิน กลุ่มผู้ที่เสี่ยงต่อโรคอ้วนและควรจะได้รับความรู้ได้แก่
ดัชนีมวลกาย
|
ประวัติโรคในครอบครัว
|
ปัจจัยที่จะส่งเสริมให้อ้วน
|
ดัชนีมวลกายมากกว่า 23 กก/ตารางเมตรสำหรับชาวเอเชีย
ดัชนีมวลกายมากกว่า 25 สำหรับชาวยุโรป
|
โรคอ้วน
โรคเบาหวาน
โรคไขมันในเลือดสูง
โรคความดันโลหิตสูง
|
การหยุดบุหรี่
น้ำหนักแรกเกิดน้อย
อาชีพที่ไม่ต้องใช้แรง
เชื้อชาติ เช่นอินเดีย
|
สำหรับกลุ่มที่ต้องให้ความรู้และต้องติดตามการรักษาได้แก่ผู้ป่วยที่อ้วนแล้วและมีโรคประจำตัวดังแสดงในตารางข้างล่าง
และหากท่านจัดอยู่ในกลุ่มนี้ท่านต้องรีบลดน้ำหนักโดยรีบด่วน
ดัชนีมวลกาย
|
โรคที่พบร่วม
|
มากกว่า 25
กก/ตารางเมตร(เอเชีย)
มากกว่า 30 กก/ตารางเมตร
(ชาวยุโรป)
รอบเอวมากกว่า 90 ซม. 80
ซม.(ชาวเอเชีย)
รอบเอวมากกว่า 94 ซม. 80
ซม.(ชาวยุโรป)
|
โรคเบาหวานชนิดที่2
|
สำหรับท่านผู้อ่านท่านต้องคำนวณดัชนีมวลกายว่าท่านจัดอยู่ในกลุ่มใดเพื่อจะได้มีแนวทางในการในการดูแลตัวเอง
-ผู้ที่มีดัชนีมวลกายประมาณ25 ถ้าหากมีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวานเช่นมีพี่
น้อง พ่อแม่เป็นเบาหวาน มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
แนะนำให้ลดน้ำหนักลงจนดัชนีมวลกายประมาณ 22
สารอาหารที่มีประโยชน์ต่อความอ้วน
เส้นใยอาหารจากพืช Capsaicin, วิตามิน B2, B6, C, E
Lecithi กรดแพนโทรเทนิค และอื่นๆ
ข้อแนะนำ
ยิ่งทานไม่ครบ 3 มื้อ ก็ยิ่งอ้วนง่าย
หากระหว่างมื้อระยะเวลาห่างกันมากก็ยิ่งทำให้กินอาหารมื้อต่อไปจุขึ้น
เพราะร่างกายหิวเป็นเวลานานนั่นเอง ทางที่ดีทานให้ครบ 3 มื้อ
ในปริมาณพอสมควร มื้อเช้าและมื้อกลางวันควรทานให้พอ ส่วนกลางคืนทานนิดหน่อย ห้ามทานอาหารตอนดึกๆ หรือทานจนพุงกาง เคล็ดลับในการทานอาหารเพื่อให้ได้วิตามิน เกลือแร่ครบ
ในระหว่างที่กำลังควบคุมพลังงานก็คือ
ทานอาหารหลากชนิด
หรือมีส่วนผสมหลายอย่างระหว่างมื้ออาหารควรดื่มนม 1 แก้วหรือผลไม้
ทานอาหารที่มีเส้นใยอาหารหรือผักสีเขียว สีเหลือง เป็นต้น ควรเคียวอาหารช้าๆ ตามสบาย
เพื่อให้สมองมีเวลาสั่งการให้รู้สึกอิ่มทันเวลา หากทานเร็ว
จะทำให้ทานเข้าไปมากเกินขนาดก่อนที่สมองจะสั่งการให้มีความรู้สึกอิ่ม
ถ้าไม่ได้ลองเองคงไม่รู้ว่าผอมได้
ตอบลบกินแล้วผอม 🌟 ขายแล้วรวย
อย่าช้าคะ ตัวแทนจำหน่ายยังน้อย เราควรเก็บตลาดช่วงนี้
รับตัวแทนจำหน่าย 💕
กินดีบอกต่อได้ตัง ใครจะไม่เอา
กิ๊กลองแล้ว พิสูจน์แล้ว
นี่ยังไม่หมดกล่อง ลดไป 4 โล โอ้วววว.....
👍Novacs Dinax โนแวคส์ ดีแนกซ์
ผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก และกระชับสัดส่วน ยอดฮิต หมดความกังวลเรื่องอ้วน ลงพุง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ปลอดภัย มี อย.12-1-08358-1-0002
❤️ช่วยในการควบคุมน้ำหนักอย่างได้ผลและรวดเร็ว
❤️ช่วยควบคุมการหิวอาหารบ่อยๆ
❤️ช่วยการดักจับแป้ง น้ำตาล เร่งการเผาผลาญ
❤️กำจัดไขมันส่วนเกินที่สะสมมานาน
เช่น ลดไขมันบริเวณต้นแขน เอว และต้นขา
❤️ลดระดับภาวะน้ำตาลในเลือดสูง(Hypoglycemia)
❤️ลดไขมันในกระแสเลือด (Hypercholesterolemia )
❤️รู้สึกกระชับทั่วร่างกายได้ภายใน 2 สัปดาห์
❤️ไม่ทำให้เกิดอาการใจสั่น เหมือนยาลดน้ำหนัก
สนใจเชิญทางนี้เลยครับ
🆔 http://line.me/ti/p/QoIFyqeH48
☎ 0994727359