บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง ปัญหาคนไร้รัฐ
ไร้สัญชาติ
คนไร้รัฐ
ไร้สัญชาติ นั้น หมายถึง กลุ่มคนที่ไม่สามารถขอสัญชาติได้
รวมถึงการไม่มีสิทธิได้สัญชาติ ก็ทำให้ ไม่มีสิทธิได้รับการดูแลจากรัฐนั้น ๆ
ตามไปด้วย เช่น การรักษาพยาบาล การมีงานทำ
หรือการประกันทางสังคมต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้คนไร้รัฐ ถูกทอดทิ้งจากสังคม
และถูกปล่อยให้อยู่อย่างตามมีตามเกิด
จึงไม่แปลกอะไรที่ส่วนใหญ่แล้วคนไร้รัฐก็คือ คนที่อยู่ชายขอบของสังคม
ที่ขาดซึ่งการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ
อันเป็นกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทย เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่รู้จักเท่านั้นเอง
ปัจจุบันประเทศไทยมีกลุ่มคนที่เรียกว่า “คนไร้สัญชาติ” อาศัยอยู่จำนวนมาก
ทั้งกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ไม่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทย
และกลุ่มคนไร้สัญชาติที่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทย
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว
ประเทศไทยจึงมีสถานะเป็นรัฐเจ้าของตัวบุคคลของคนไร้สัญชาติเหล่านี้ ซึ่งทำให้คนไร้สัญชาติเหล่านี้ไม่ไร้รัฐ
แต่หากคนไร้สัญชาตินั้นไม่ได้รับสิทธิอาศัยอยู่ในประเทศใดเลย คนไร้สัญชาตินั้นก็จะกลายเป็น “คนไร้รัฐ” ซึ่งไม่เพียงถือเป็นคนต่างด้าวในทุกประเทศ เพราะไม่มีสัญชาติของรัฐใดเลย
ยังไม่อาจอาศัยอยู่ในประเทศใดได้
เพราะไม่มีสิทธิอาศัยในประเทศนั้น
และยังถือเป็นคนเถื่อนสำหรับทุกดินแดน
ในยุคที่รัฐทุกรัฐขีดเส้นแบ่งพื้นที่ แบ่งมนุษย์
แบ่งวัฒนธรรม
ออกเป็นส่วนๆแล้วแยกประชาชนที่เคยไปมาหาสู่กันเป็นพี่เป็นน้องกันด้วยพรหมแดนเดียวกันของวัฒนธรรม
แต่วันหนึ่งรัฐแต่รัฐก็ออกกฎหมายขีดเส้นแบ่งให้ประชาชนอยู่
ภายใต้การคุ้มครองของตนเพื่อการเอื้อประโยชน์ของสิทธิและสวัสดิการต่างๆ
แก่ประชาชนพลเมืองของตน
แต่ยังคงมีประชาชนอีกจำนวนหนึ่งบนผืนแผ่นดินนี้ที่ดำเนินวิถีชีวิตมานับสิบปี ร้อยปี
แต่ต้องตกสำรวจ ไม่มีสถานะใดๆ
เลยในรัฐไทย อิทธิพลความคิดด้านสิทธิมนุษยชนสิทธิชุมชนผลพวงจากกระแสโลกาภิวัฒน์ผลักดันให้รัฐสร้างกลไกใหม่ๆ
เพื่อแก้ ปัญหาสถานะคนต่างด้าวเข้าเมืองและคนไทยแต่ไร้สัญชาติ
ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากดำรงชีวิตบนผื่นแผ่นดินไทยมา นมนาน
ให้มีสถานะที่ชัดเจนเพื่อให้ได้รับการปกป้องคุ้มครองทางกฎหมายที่เท่าเทียม แต่กลไกหนึ่งของระบบราชการที่ต้องกำหนดสถานภาพประชาชนกลับไม่ทำงาน
หรือทำงานอย่างล่าช้าและไม่เท่า เทียม เพราะในยามที่มีคนต่างด้าวผู้มากด้วยอิทธิพล
เงินทองและ ผลประโยชน์ เข้ามาระบบราชการสามารถทำงาน ให้ทันที
ได้สถานภาพทุกประการไปง่ายๆ
แต่ประชาชนที่ดำรงชีวิตบนแผ่นดินไทยมานานกลับยังคงตกสำรวจอยู่ไม่ มีสถานะ
ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสรีภาพ ไม่มีความเสมอภาค ไม่มีการคุ้มครองใดๆ
จากกฎหมายและพลเมืองอื่นๆ
แม้จะมีกฎหมายทั้งกฎหมายฉบับปรับปรุงใหม่
2535 ที่ผ่านโดยสภาผู้ราษฎรออกเป็นพระราชบัญญัติและกฎหมาย
ที่ออกโดยฝ่ายบริหาร(ประกาศคณะรัฐมนตรี
)เปิดช่องทางให้บุคคลสามารถหรือปรับสถานะเป็นสัญชาติไทย ทั้งโดย
อัตโนมัติและการยื่นคำร้องได้ถึง 4 ช่อง ทางคือ"
(๑) เกิดในขณะที่บิดาที่ชอบด้วยกฎหมายเป็นคนสัญชาติไทย (๒) เกิดในขณะที่มารดาเป็นคนสัญชาติไทย
(๓) เกิดในประเทศไทยก่อนวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๕ จากบิดาและ
มารดาซึ่งเกิดในประเทศไทย และ (๔)
เกิดในประเทศไทยในขณะที่บิดาและมารดาถือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว" แต่จนถึงบัดนี้ สถานะชาวไทยภูเขาก็ยังคงเป็นเฉกเช่นเดิม มิใช่คนต่างด้าว
มิใช่คนไทย ทั้งๆ ที่บางชุมชนดำเนินวิถี ชีวิตอย่างนี้มานับร้อยปีแต่บรรพบุรุษ
เขายังคงเป็นคนไร้รัฐ (Stateless Person) หรือที่เราเรียกกันในประเทศไทย
ว่า"คนไร้สัญชาติ" (Nationalityless Person)
แม้จะพยายามเข้ายื่นคำร้องตามระเบียบการปกครอง
แต่ก็ยากที่จะผ่านกระบวนการเหล่านั้นเพื่อมาสู่การเป็นคนไทย
มีบัตรประชาชนดังเช่นคนราบอื่นๆ ได้ เพราะนอกจากระเบียบการอันยุ่งยากแล้ว
ยังมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ เท่าที่เจ้าหน้า ที่รัฐพยายามเรียกรับ
หรือแม้แต่เรือนร่างจากหญิงสาวผู้เยาว์ต่อโลก
ในวันนี้ของประเทศไทย ปัญหาสิทธิมนุษยชนประการหนึ่งที่ยังคงร้ายแรงอยู่มากในสังคมไทย
ก็คือ “ปัญหาความไร้รัฐและความไร้สัญชาติของบุคคลธรรมดาในประเทศไทย” ขอให้สังเกตว่า
จำนวนคนไร้รัฐและคนไร้สัญชาติยังมีจำนวนมหาศาล
แม้ว่าประเทศไทยจะได้ยอมรับปฎิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนมาตั้งแต่ พ.ศ.2490 ซึ่งยอมรับในข้อ15 ว่า “บุคคลมีสิทธิในการถือสัญชาติ
การถอนสัญชาติโดยพลการ
หรือการปฏิเสธสิทธิที่จะเปลี่ยนสัญชาติของบุคคลใดนั้นจะกระทำมิได้หรือแม้ว่า
ประเทศไทยในวันนี้จะเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางการเมืองและสิทธิทางแพ่ง
ค.ศ.1966 ซึ่งข้อ 14 ยอมรับว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับสัญชาติ.” ก็ตาม
ปัญหาของคนไร้สัญชาติส่วนใหญ่
คือ ไม่มีสถานะบุคคลตามกฎหมายของประเทศไทยใดเลย
และ/หรือยังไม่มีสถานะบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายไทยอีกด้วย กรณีของบุคคลบนพื้นที่ราบสูงบางคนซึ่งมีจำนวนไม่น้อยไม่มีเอกสารรับรองความเป็นบุคคลตามกฎหมาย
จึงไม่มีเอกสารพิสูจน์ตนที่ออกโดยรัฐใดเลยในโลกหรือโดยองค์การระหว่างประเทศเลยในโลก พวกเขาตกเป็นคนไร้รัฐมิใช่เป็นเพียงคนไร้สัญชาติ ไม่มีรัฐใดเลยให้ความคุ้มครองในฐานะของรัฐเจ้าของสัญชาติ หรือแม้เพียงแค่รัฐเจ้าของภูมิลำเนา
เป็นคนเข้าเมืองที่ผิดกฎหมายของประเทศ
การแบ่งสมาชิกในสังคมตามสถานะของบุคคล
แบ่งได้เป็น
1. คนชาติ (National) หมายถึง
พลเมืองที่ประเทศนั้นให้การรับรองว่าเป็นผู้อยู่ในการควบคุมของประเทศนั้นๆ ได้แก่ ผู้มีสัญชาติของประเทศนั้น คนต่างด้าวผู้ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศนั้นอย่างถาวร
2. คนต่างด้าว (Aliens) หมายถึง
บุคคลที่ยังไม่มีสัญชาติของประเทศนั้นหรือคนต่างด้าวผู้ที่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศนั้นแบบชั่วคราว
3. คนไร้สัญชาติ (Statelessperson) หมายถึง บุคคลที่ไม่สามารถระบุได้ว่า
เป็นผู้มีสถานะที่เป็นสมาชิกของประเทศใด
หรือไม่มีประเทศใดรับว่าเป็นสมาชิกหรือเคยเป็นสมาชิกของประเทศ
ปัญหาและสาเหตุคนไร้สัญชาติในประเทศไทยมี
2 ลักษณะ คือ ความไร้สัญชาติด้านข้อเท็จจริง และ
ความไร้สัญชาติทั้งด้านข้อกฎหมาย
- ความไร้สัญชาติโดยข้อเท็จจริงเกิดขึ้นได้ใน
2 ลักษณะ
ลักษณะแรกคือกรณีที่เกิดขึ้นจากบุคคลไม่ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ประวัติของตนเอง
จึงไม่อาจพิสูจน์ความเกาะเกี่ยวกับรัฐใดเลยในโลก ทำให้ไม่สามารถกำหนดสัญชาติได้เลย
คนเหล่านี้จึงตกเป็นคนไร้ สัญชาติ ตัวอย่าง เช่นเด็กชายขวัญ วรรัตน์
ซึ่งเกิดในประเทศไทย โดยไม่ทราบว่าใครเป็นบิดามารดาเพราะถูกทอดทิ้ง ลักษณะที่สอง
เกิดขึ้นจากบุคคลนั้นเชื่อว่าและอ้างว่าตนมีข้อเท็จจริงที่ทำให้ได้ สัญชาติไทย
แต่เจ้าหน้าที่ของรัฐไทยเองปฏิเสธที่จะเชื่อในข้อเท็จจริง ที่บุคคลกล่าวอ้าง
ตัวอย่างเช่น กรณีของชาวบ้านแม่อาย 1243 คน ที่ถูกนายอำเภอแม่อายใน
พ.ศ.2545 ถอนชื่อออกจากทะเบียนราษฎร ประเภทคนสัญชาติไทย
โดยไม่มีการเข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง ส่วนบุคคลของแต่ละคน
และเป็นเหตุให้ชาวบ้านทั้งหมดไม่อาจใช้
สิทธิในสัญชาติไทยและไม่มีสิทธิในสัญชาติของประเทศใดเลยในโลก
- ความไร้สัญชาติโดยข้อกฎหมายเกิดขึ้นได้
2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือความไร้สัญชาติที่เกิดแก่บุคคลที่เกิดในประเทศไทย
จากบุพการีที่เกิดนอกประเทศไทย ตัวอย่างเช่นกรณีของ นายบุญธรรม
ศรีบุญทองซึ่งเกิดในประเทศไทยจากบิดามารดาซึ่ง มีเชื้อชาติไทยใหญ่ แต่เป็นคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศพม่า
และลักษณะที่สองคือความไร้สัญชาติที่เกิดแก่บุคคลที่เกิดนอก
ประเทศไทยจากบุพการีที่เกิดนอกประเทศไทย ตัวอย่างเช่นกรณี ของนางสาวมาลัย
ปลอดโปร่ง พ่อแม่เป็นคนไทยแต่เกิดนอก ประเทศไทย เธอจึงไม่ได้สัญชาติไทย เป็นต้น
ปัญหาความไร้รัฐที่เกิดแก่บุคคลธรรมดา
จำแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.ปัญหาความไร้รัฐที่เกิดแก่กลุ่มชนพื้นเมือง
ชนพื้นเมืองเป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาตั้งแต่ดั้งเดิม โดยหลักกฎหมายสัญชาติ บุคคล
ดังกล่าวย่อมได้รับสัญชาติไทยโดยการเกิดไม่ว่าจะมีชาติพันธุ์เดียวกันกับชนกลุ่มใหญ่ในประเทศไทยหรือไม่ แต่ในปัจจุบันยังพบว่า
มีชนพื้นเมืองในหลายพื้นที่ที่ตกเป็น
“คนไร้รัฐ” โดยสาเหตุการขาดเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐไทย
หรือมีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่บกพร่องมิได้ยอมรับความเป็นไทยโดยสัญชาติ
ในหลายพื้นที่ห่างไกลความเจริญหรือห่างไกลจากการจัดการทางระเบียบราษฎรของรัฐไทย
2.ปัญหาความไร้รัฐที่เกิดแก่กลุ่มชาติพันธุ์หรือชนกลุ่มน้อย
โดยข้อเท็จจริงกลุ่มชาติพันธุ์ในหลายเผ่าพันธุ์และในหลายพื้นที่เป็น “กลุ่มชนพื้นเมือง”
ที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาแต่ดั้งเดิมซึ่งย่อมมีสัญชาติไทยโดยการเกิด
แต่ก็มีจำนวนบุคคลไม่น้อยที่ตกเป็นคนไร้รัฐ ซึ่งแบ่งเป็น 2
ประเภท คือ กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าจากบรรพบุรุษที่เกิดนอกประเทศไทย
และกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีรากเหง้าจากบรรพบุรุษที่เกิดในประเทศไทย
อันเนื่องมาจากการขาดเอกสารพิสูจน์ตัวบุคคลหรือมีเอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่บกพร่อง
ซึ่งอาจเกิดจากหลายสาเหตุ อาทิ การอยู่ในพื้นที่ห่างไกล
การไร้ความรู้ความเข้าใจระบบทะเบียนบุคคลของรัฐ เป็นต้น
3.ปัญหาความไร้รัฐที่เกิดแก่กลุ่มผู้อพยพเข้ามาในประเทศไทย
กลุ่มชาติพันธุ์ที่มีปัญหาสถานะบุคคลตามกฎหมายมักจะมีบรรพบุรุษในช่วงตอนใดตอนหนึ่งของกาลเวลาเป็นบุคคลที่เกิดนอกประเทศไทย
ซึ่งอาจจะเดินทางเข้าประเทศไทยอันเนื่องมาจากการหนีภัยความตาย
โดยทั่วไปเราเรียกว่า “ผู้ ลี้ภัย” หรือทางรบราชการไทยมักเรียกว่า “ผู้ลี้ภัยการสู้รบ” หรือเหตุผลทางเศรษฐกิจ
4.ปัญหาความไร้รัฐที่เกิดแก่กลุ่มไร้รากเหง้า
ซึ่งเป็นบุคคลที่ไม่รู้ “รากเหง้า” ของตน
กล่าวคือ บุคคลนั้นไม่ทราบว่าตนเป็นบุตรของผู้ใด
หรือบุคคลนั้นไม่อาจรู้ว่าตนเกิดที่ใด ปัญหาความไร้รากเหง้ามักปรากฏแก่บุคคลได้ใน 3 สถานการณ์ คือ
1.
เด็กจรจัดที่พลัดพรากจากบุพการีตั้งแต่ก่อนจำความได้
2. อดีตเด็กซึ่งเกิดในยุคที่การทะเบียนราษฎรของประเทศไทยยังไม่ชัดเจนหรือในพื้นที่ที่ปฏิบัติการด้านทะเบียนราษฎรยังมีความบกพร่องไม่ทั่วถึง
3.
คนที่มักได้รับการกล่าวหาว่าเป็นคนต่างด้าว ทั้งๆที่เจ้าตัวเชื่อว่าตนนั้นเป็นคนไทย
กลุ่มคนไร้รัฐที่น่าเป็นห่วงกลุ่มหนึ่งก็คือ กลุ่มของเด็กและเยาวชน
ซึ่งจากการไม่มีสัญชาตินั้นทำให้ไม่สามารถที่จะได้รับการศึกษาตามภาคบังคับของรัฐได้
และซ้ำร้ายบางโรงเรียนก็ปฏิเสธที่จะรับกลุ่มเด็กและเยาวชนเหล่านี้เข้ามาเรียนในสถานศึกษา
เพื่อป้องกันปัญหาความยุ่งยากที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนเหล่านี้
ควรได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
แนวคิดเรื่องสัญชาติและภาวะไร้สัญชาติ
ปัจจุบันจะพบว่าทั่วโลกมีบุคคลที่ต้องตกอยู่ในภาวะคนไร้สัญชาติอยู่เป็นจำนวนมาก
และเมื่อบุคคลเหล่านั้นตกอยู่ภาวะดังกล่าวแล้ว ผลที่ตามมาคือ
ไม่มีรัฐใดที่จะให้ความคุ้มครองดูแลและในบางกรณีอาจหมายรวมไปถึงไม่มีที่พักพิงอาศัยอีกด้วย
สิ่งเหล่านี้ทำให้บุคคลที่ตกอยู่ในภาวะไร้สัญชาติต้องเกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิต
เพราะเขาเหล่านั้นย่อมตกอยู่ในสถานะเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน ข้อ 6 ระบุว่า “ทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นบุคคลตามกฎหมายทุกแห่งหน”
และข้อ 15 ทุกคนมีสิทธิในการถือสัญชาติหนึ่ง
บุคคลใดๆจถูกตัดสัญชาติของตนโดยพลการหรือถูกปฏิเสธที่จะเปลี่ยนสัญชาติไม่ได้
และอนุสัญญาประชาชาติว่าด้วยการลดการไร้สัญชาติที่พยายามลดการไร้สัญชาติโดยกำหนดวิธีการแก้ไขการไร้สัญชาติเอาไว้ในรูปของข้อตกลงระหว่างประเทศ
หากรัฐใดเข้าร่วมในข้อตกลงดังกล่าวก็จะเป็นต้องดำเนินพันธกรณีที่กำหนดไว้
ซึ่งข้อหนึ่งระบุไว้ว่า “รัฐต้องให้สัญชาติแก่บุคคลที่เกิดในดินแดนของตนโดยใช้หลักดินแดน
โดยจะให้ตอนเกิดหรือให้ภายหลังการเกิดก็ได้
หากพำนักอยู่ภายในประเทศของตนหรือมีถิ่นที่อยู่สำคัญในรัฐนั้นๆ กล่าวคือ
ถือเอาจุดเกาะเกี่ยวในเรื่องการพำนักหรือถิ่นที่อยู่เป็นจุดเกาะเกี่ยวสำคัญ”
ในส่วนของประเทศไทยเองก็มีกลุ่มคนที่ต้องตกอยู่ในภาวะไร้สัญชาติเช่นเดียวกัน
ซึ่งในปัจจุบันรัฐไทยก็ได้มีความพยายามเพื่อจะดำเนินการในการแก้ปัญหาดังกล่าวเรื่อยมา
เพราะปัญหาดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปัญหาที่สำคัญและจำเป็นต้องมีการแก้ไขอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
และเพื่อความเข้าใจในเรื่องนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการทำความเข้าใจในเรื่องแนวคิดเรื่องสัญชาติและภาวะไร้สัญชาติ
“สัญชาติ” คือ การมีสถานะเป็นสมาชิกของรัฐชาติ ทำให้มีการกำหนดสิทธิหน้าที่ของบุคคลต่อรัฐชาติ
ถือเป็นพันธะทางกฎหมายระหว่างบุคคลกับรัฐ
พันธะนี้กำหนดให้สมาชิกทุกคนในรัฐมีสิทธิเสมอภาพกัน
รัฐบางรัฐถือว่าคนที่มีสัญชาติของรัฐต้องเป็นคนที่มีสายเลือดเดียวกัน
เป็นชาติพันธุ์เดียวกัน แต่บางรัฐถือว่าคนจากหลายชาติพันธุ์ที่มารวมอยู่ในรัฐเดียวกันก็มีสัญชาติเดียวกันได้
ในอีกความคิดเห็นหนึ่ง
คำว่า “สัญชาติ” เป็นถ้อยคำทางกฎหมายซึ่งหมายถึงความสัมพันธ์ในทางกฎหมายระหว่างปัจเจกชนคนหนึ่งในรัฐๆหนึ่ง
ในลักษณะปัจเจกชนตกอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยในทางบุคคลของรัฐนั้น
เป็นนิติสัมพันธ์ระหว่างรัฐและเอกชนที่ก่อให้เกิดสถานภาพ “คนชาติ”
แก่บุคคล รวมทั้ง “สัญชาติ” คือ
เครื่องมัดบุคคลไว้กับประเทศในทางกฎหมายเป็นเหตุให้บุคคลมีสิทธิและหน้าที่ต่อประเทศที่บุคคลมีสัญชาติ
การที่จะให้สัญชาติแก่บุคคลนั้นย่อมจะเป็นไปตามกฎหมายกำหนดไว้
ในส่วนของความหมายของคำว่า
“ไร้สัญชาติ” นั้นได้มีนักวิชาการหลายท่านที่ได้กำหนดคำนิยามของคำคำนี้เอาไว้
ซึ่งคำนิยามดังกล่าวก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันที่กล่าวว่า “คนไร้สัญชาติ”
คือ สภาพของบุคคลที่ไม่มีสัญชาติของรัฐหรือประเทศใดในโลก หรือ “ภาวะไร้สัญชาติ” คือ
ภาวะที่บุคคลไม่มีพันธะทางกฎหมายในฐานะสมาชิกของรัฐใดรัฐหนึ่ง เขาจึงอยู่ในสถานะไร้สัญชาติ
ภาวะไร้สัญชาติอาจเกิดได้จากการถูกเพิกถอนสัญชาติและไม่มีสัญชาติตั้งแต่แรกเกิด
ซึ่งผลของการไร้สัญชาติย่อมทำให้บุคคลนั้นไม่ได้รับการคุ้มครองจากรัฐเจ้าของสัญชาติหรือที่เรียกว่า
State Protection แต่บุคคลไร้สัญชาติอาจได้รับการคุ้มครองในฐานะที่เป็นพลเมืองของรัฐใดรัฐหนึ่ง
หากรัฐนั้นยอมรับให้สิทธิอาศัยแก่คนไร้สัญชาตินั้นๆ
นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการไม่ได้รับสิทธิขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น บริการทางการศึกษา
สาธรณสุข จากรัฐนั้นๆด้วย
หากพิจารณาแล้วจะพบว่า คำว่า “คนไร้สัญชาติ” มีความใกล้ชิดกับคำว่า “คนไร้รัฐ” เป็นอย่างมาก ซึ่งในประเด็นดังกล่าวก็ได้มีการอธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า
คนไร้สัญชาติที่มีรัฐใดรัฐหนึ่งยอมรับที่จะให้สิทธิอาศัยแก่ตน
คนไร้สัญชาติในสถานการณ์นี้จึงมีสถานะเป็นคนต่างด้าวในทุกๆรัฐ แต่สามารถอาศัยอยู่ในรัฐที่ยอมรับให้สิทธิอาศัยแก่ตนได้อย่างปกติสุขเหมือนบุคคลที่มีสัญชาติของรัฐใดรัฐหนึ่ง
แต่หากคนไร้สัญชาตินั้นๆไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐใดรัฐหนึ่งให้มีสิทธิอาศัยอยู่ในรัฐใดรัฐหนึ่งแล้ว
คนไร้สัญชาตินั้นนอกจากจะมีสถานะเป็นคนต่างด้าวสำหรับทุกรัฐแล้ว เขายังมีสถานะเป็น
“คนไร้รัฐ” อีกด้วย
เพราะไม่มีทั้งรัฐเจ้าของสัญชาติและไม่มีรัฐเจ้าของภูมิลำเนา
คนไร้สัญชาติในสถานการณ์หลังนี้จะมีสถานะที่ย่ำแย่กว่าคนไร้สัญชาติในสถานการณ์แรกเพราะจะไม่มีรัฐใดรับรู้ถึงการมีตัวตนของเขาในสังคม
เพราะนอกจากนี้จะมีสถานะเป็นคนไร้สัญชาติแล้ว ยังต้องตกเป็นบุคคลที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายรวมไปถึงเป็นคนไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคล
ในงานศึกษาของพันธุ์ทิพย์
กาญจนะจิตรา สายสุนทร ได้จำแนกประเภทของคนไร้สัญชาติในประเทศไทยตามสิทธิอยู่อาศัย
ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในปัจจุบัน โดยจำแนกเป็น 3 ประเภท คือ
1.คนไร้สัญชาติที่มีสิทธิเข้าเมืองและมีสิทธิอาศัยในลักษณะถาวร
2.คนไร้สัญชาติที่มีสิทธิเข้าเมืองและมีสิทธิอาศัยในลักษณะชั่วคราว
3.คนไร้สัญชาติที่มีสิทธิอาศัยในลักษณะชั่วคราว
แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นคนเข้าเมืองตามกฎหมาย
แม้ประเทศจะมีความพยายามในการแก้ปัญหาคนไร้สัญชาติมาอย่างยาวนาน
หากแต่ปัญหาคนไร้สัญชาตินั้นถือเป็นปัญหาในระดับระหว่างประเทศ
เนื่องจากคนไร้สัญชาติบางส่วนคือกลุ่มคนที่อพยพมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว
พม่า ฯลฯ ดังนั้น
นอกจากการแก้ปัญหาโดยการพัฒนาระบบทะเบียนราษฎรที่ยังมีปัญหาของความไม่สมบูรณ์ของระบบทะเบียนราษฎรแล้ว
ที่ยังพบว่า มีการตกหล่นของบุคคลจนทำให้เกิดปัญหาคนไร้รัฐสัญชาติแล้ว
การคำนึงถึงการร่วมมือระหว่างประเทศของกลุ่มคนไร้รัฐที่อพยพเข้ามาก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรจะมีการสร้างความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาในระยะยาวต่อไป
ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ
โดยได้กำหนดมาตรฐานและมีตัวชี้วัดหลายประการ
เพื่อดูแลและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชนกลุ่มต่างๆ ที่ด้อยโอกาส
ซึ่งได้ระบุถึงมาตรฐานขั้นต่ำเกี่ยวกับชีวิตของคนไร้สัญชาติ
เป็นแนวทางที่คนไร้สัญชาติจะได้รับการดูแลจากสังคม ที่ถือเป็นสิทธิมนุษยชน อันเป็นสิทธิพื้นฐาน
ดิฉันจะขอยกมาบางส่วน คือ
แนวทางข้อกำหนดด้านสิทธิทางสังคมและการคุ้มครองสิทธิของคนไร้สัญชาติ
มีดังนี้
1.
คนไร้สัญชาติควรได้รับการส่งเสริมสวัสดิภาพและคุ้มครองพิทักษ์สิทธิเรื่องการคุ้มครองสิทธิ ซึ่งการคุ้มครองสิทธิ ในที่นี้หมายถึง
1.1
คนไร้สัญชาติที่ไม่มีชื่ออยู่ในทะเบียนราษฎร
มีสิทธิอาศัยอย่างน้อยเป็นการชั่วคราวในประเทศไทย
1.2
คนไร้สัญชาติจะต้องไม่ถูกส่งกลับไปนอกราชอาณาจักรไทย โดยไม่สมัครใจ
หรือถูกส่งกลับไปรับความยากลำบาก หรือความตาย
1.3 ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัยจากการทำงาน
ไม่ถูกเอาเปรียบเกี่ยวกับการทำงาน
1.4 ได้รับการปฏิบัติในการเข้าถึงบริการอย่างเท่าเทียมกับบุคคลอื่นในสังคม
โดยไม่มีการละเมิดและถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
1.5
สามารถเดินทางไปรับบริการการศึกษา
การรักษาพยาบาลได้เช่นเดียวกับบุคคลทั่วไป
2. คนไร้สัญชาติควรได้รับการส่งเสริมสวัสดิภาพและคุ้มครองพิทักษ์สิทธิเรื่องสถานภาพบุคคลทางกฎหมาย ซึ่งสถานภาพบุคคลทางกฎหมาย ในที่นี้หมายถึง
2.1
บุคคลที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยที่มีเชื้อสายไทย
แต่ยังไม่ได้รับการพิจารณาทางสถานะทางกฎหมาย มีโอกาสได้รับการพิจารณาให้สัญชาติไทย
2.2
บุตรของบุคคลที่มีเชื้อสายไทย ที่เกิดในประเทศไทย ได้รับสัญชาติไทย
2.3
บุคคลที่มีชื่ออยู่ในระบบการทะเบียนราษฎร
ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศไทยติดต่อกันเป็นเวลานานไม่ต่ำกว่า 10 ปี
จนกลมกลืนกับสังคมไทยและไม่สามารถเดินทางกลับประเทศต้นทาง
มีโอกาสได้รับการพิจารณาสถานะเป็นบุคคลต่างด้าวเข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมายและมีโอกาสได้รับการพิจารณาให้ได้สัญชาติไทย
2.4
บุคคลที่เกิดและอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมาย
และศึกษาสำเร็จในสถาบันอุดมศึกษาในประเทศไทย ได้รับการพิจารณาได้สัญชาติไทย
2.5
บุคคลที่เกิดและอาศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังไม่มีสถานะทางกฎหมาย
และยังไม่สำเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษา
ได้นำเข้าสู่กระบวนการพิจารณากำหนดสถานะทางกฎหมาย
2.6
บุคคลที่ขาดบุพการี หรือบุพการีทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์
และมีชื่ออยู่ในระบบการทะเบียนของทางราชการ
และอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาอย่างน้อย 10 ปี
จนกลมกลืนกับสังคมไทยและมีคุณสมบัติอื่นๆ
ตามหลักเกณฑ์ที่ทางราชการกำหนดได้รับการพิจารณาให้สัญชาติไทย
2.7
บุคคลที่ขาดบุพการี หรือบุพการีทอดทิ้ง ที่ได้รับสถานะเป็นบุตรบุญธรรมตามคำสั่งของศาล
เมื่อผู้รับบุตรบุญธรรมเป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทย ได้รับสัญชาติไทย
2.8
บุคคลที่มีผลงาน/ความรู้ความเชี่ยวชาญที่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาประเทศในด้านการศึกษา
ศิลปวัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการกีฬา รวมทั้งด้านอื่นๆ
ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเห็นสมควรได้รับการพิจารณาให้ได้สัญชาติไทย
2.9
บุตรของคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศไทย
ได้รับการแจ้งเกิดและได้รับสูติบัตร ซึ่งเป็นเอกสารแสดงการเกิด
จะเห็นได้ว่าคนไร้สัญชาติได้รับการคุ้มครองและสามารถได้รับสัญชาติได้ด้วยสาเหตุหลายกรณี
ทั้งนี้และทั้งนั้นเพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิทางสังคมของคนไร้สัญชาติให้ได้รับบริการ
สวัสดิการจากรัฐไทย เพราะ แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะไร้สัญชาติ
แต่หากไม่ได้ไร้ความเป็นมนุษย์
รัฐไทยจึงให้ความคุ้มครองสิทธิที่เข้ามีจากการถือกำเนิดเป็นมนุษย์ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน
กรณีศึกษา
การจัด
การปัญหาความไร้รัฐ ไร้สัญชาติของนายแสงชัย ปันนากุล แห่งจังหวัดเชียงใหม่ โดยรัฐไทย : กรณีศึกษาคนไร้รัฐไร้สัญชาติที่หนีภัยความตายเข้ามาอาศัยในประเทศไทย แต่ยังมิได้กลมกลืนกับรัฐไทย
ในภาคเหนือของประเทศไทย เราพบคนไร้รากเหง้า โดยสิ้นเชิงอย่างมากมาย ในสถานการณ์เดียวกันกับนายแสงชัย
ปันนากุล และคนในสถานการณ์นี้ก็ถูกพบในทุกพื้นที่ของประเทศไทยเช่นกัน
เรามักเรียกคนที่ไม่รู้หรือไม่อาจพิสูจน์ได้ว่า ตนเกิดที่ไหน ? หรือบิดามารดาเป็นใคร ? ว่าเป็น “คนไร้รากเหง้า ” ตี๋ก็เป็นคนไร้รากเหง้า เพราะถึงที่มาของตนเอง ไม่ทราบว่า ตนเองเกิดที่ไหน
? เกิดเมื่อไหร่ ? บิดามารดาเป็นใครกัน
? เป็นที่น่าสังเกตว่า บุคคลในสถานการณ์ เช่น ตี๋ นั้น มักมีอดีตเป็น
“เด็กวัด” ซึ่งบิดามารดานำมาฝากวัดเลี้ยง และหายไป
ปล่อยให้เด็กเติบโตในวัดเด็กวัดจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีเอกสารรับรองตัวบุคคลโดยรัฐ จึงถูกกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองถือเป็น
“คนผิดกฎหมาย” และอาจถูกส่งกลับออกไปจากประเทศไทย
แต่ทุกขเวทนาที่เกิดต่อมา ก็คือ รัฐไทยก็ไม่อาจส่งออกจากประเทศไทยไดhเพราะไม่มีรัฐใดที่มีหน้าที่รับตัวเด็กและเยาวชนดังกล่าวไว้พวกเขาจึงเสมือน
“ถูกต้องขังอยู่ในช่องสูญญากาศ” ระหว่างรัฐไทยและรัฐอื่น
ตี๋เป็นคนหนึ่งทีมีชีวิตอยู่ในสูญญากาศทางกฎหมายนี้มาตั้งแต่เกิด ซึ่งเขาคิดว่า น่าจะเป็น
พ.ศ.2525 จนถึงปัจจุบันซึ่งเป็น พ.ศ.2549 ซึ่งนับได้เป็นเวลาเกือบ 24 ปี เต็ม โดดเดี่ยว ไร้บุพการี แม้โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐไทยซึ่งเป็นรัฐที่พวกเขาอาศัยอยู่ในความเป็นจริง
ย่อมมีหน้าที่จะต้องรับรองความเป็นบุคคลตามกฎหมายของเขา และจะต้องพยายามทำให้เขามีสิทธิในสัญชาติสักสัญชาติหนึ่ง
แต่เขาก็ยังไร้รัฐผู้ให้สัญชาติ ไร้รัฐผู้ให้สิทธิอาศัย
โดยหลักกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง “คนที่ไม่มีเอกสารของรัฐที่พิสูจน์ทราบความเป็นบุคคล
ย่อมถูกสันนิษฐานให้เป็น “คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย” ทั้งนี้จนกว่าจะพิสูจน์เป็นอย่างอื่นได้ และในกรณีของ “คนไร้รากเหง้า ” ย่อมไม่อาจทราบได้แน่นอนว่า ตนเกิดที่ไหนและมีใครเป็นบิดามารดา
ดังนั้น โดยหลักกฎหมายสัญชาติ คนไร้รากเหง้าย่อมเป็นคนไร้สัญชาติทั้งโดยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
การแก้ไขปัญหาความไร้สัญชาติจึงต้องทำโดยการให้สัญชาติเท่านั้น หรือหากยังไม่เห็นควรที่จะให้สัญชาติ
การให้เอกสารรับรองสถานะบุคคลและการให้สิทธิอาศัยชั่วคราว ก็น่าจะเป็นมาตรการที่เยียวยาผลกระทบด้านลบในขณะที่ยังไร้สัญชาติ
ตี๋ซึ่งเป็นคนไร้รากเหง้าได้รับการรับรองโดยยุทธศาสตร์เพื่อการจัดสถานะและสิทธิของบุคคลตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่
๑๘ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๘ ซึ่งเรียกคนไร้รากเหง้าว่า“บุคคลที่ไม่อาจทราบแหล่งที่มา” กระบวนการแก้ไขปัญหาย่อมจะเริ่มต้นจากการแก้ไขปัญหาความเป็นบุคคลซึ่งไร้เอกสารพิสูจน์ทราบตัวบุคคลที่ออกโดยรัฐ
ทั้งนี้ โดยกลไกของระเบียบสำนักทะเบียนกลางว่าด้วยการสำรวจและจัดทำทะเบียนสำหรับบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน
พ.ศ.2548โดยผลของระเบียบนี้ ตี๋ก็จะมีชื่อในทะเบียนราษฎรของรัฐไทย
ประเภท ทร.38ก. ตี๋ก็จะมีเลขประจำตัวประชาชนของรัฐไทย
และตี๋ก็จะถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนที่ออกโดยรัฐไทยนอกจากนั้น ความเป็นคนไร้รากเหง้
ของตี๋จะทำให้เขานั้นเป็นเป้าหมายของยุทธศาสตร์จัดการสิทธิและสถานะบุคคลฯ ประเภทที่
2 ซึ่งว่า “ให้บุคคลที่ขาดบุพการีหรือบุพการีทอดทิ้งตั้งแต่วัยเยาว์ได้รับสัญชาติไทย
เมื่อมีชื่ออยู่ในระบบทะเบียนของทางราชการและอาศัยอยู่ใน
ประเทศไทยติดต่อกันอย่างน้อย ๑๐ ปีขึ้นไป ทั้งนี้ บุคคลดังกล่าวต้องมีความประพฤติดี
และ/หรือประกอบอาชีพสุจริต” สัญชาติไทยที่ตี๋อาจได้รับก็คือ
สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ
ในระหว่างที่รอการได้สัญชาติไทย
ยุทธศาสตร์เพื่อจัดการสิทธิและสถานะบุคคลฯ ก็รับรองให้ตี๋มี “สิทธิขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในส่วนของการรับบริการด้านสาธารณสุข และการเข้ารับการศึกษาโดยไม่มีข้อจำ
กัดใดๆ สำ หรับสิทธิในเรื่องอื่นๆ การทำ งาน การเดินทาง ให้ดำเนินการเท่าที่จำเป็นและไม่กระทบต่อสถานภาพในการดำรงชีวิต”ปัญหาความไร้รัฐและความไร้สัญชาติของตี๋ดูจะหมดไปหากมีการดำ เนินการตามกฎหมายและนโยบายที่กล่าวไว้ในสองย่อหน้าก่อน
แต่ความเป็นจริง ก็คือ กฎหมายและนโยบายที่สวยงามและชัดเจนนี้ยังไม่ได้เกิดผลอย่างจริงจังต่อตี๋และเด็กหรือเยาวชนไร้รากเหง้าที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับตี๋
การเริ่มต้นนับหนึ่งจึงต้องเริ่มที่ภาคประชาคมและภาคการเมืองที่เห็นความสำคัญของคนรากหญ้า
ที่จะต้องร้องเรียกให้รัฐบาลและภาคราชการเข้าทำหน้าที่ที่พวกเขามีตามกฎหมายและนโยบายต่อเด็กและเยาวชนไร้รากเหง้า
บทสรุป ปัญหาคนไร้สัญชาติ
ประเด็นเรื่อง “ความไร้สัญชาติ” หากให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ
สภาพที่บุคคลไม่มีสัญชาติของรัฐ หรือประเทศใดๆ เลยในโลกสังกัด (อ้างจาก www.archanwell.org) หรือ
เป็นคนต่างด้าวของทุกประเทศในโลกใบนี้นั้นเอง พูดให้ง่ายๆ อีกทีก็คือ“ไม่มีรัฐสังกัด หรือเป็นคนไร้รัฐ” ซึ่งสำหรับมนุษย์บางกลุ่มพวก
ที่มีประวัติศาสตร์การต่อสู้กับรัฐ
มีประวัติศาสตร์อันแสนเจ็บปวดจากการถูกรัฐควบคุม บงการ
ปัญหาคือ
รัฐไม่ใช่องค์กรที่ตกลงมาจากฟ้า และเป็นที่ชอบธรรม เป็นเอกฉันท์ ต่อประชาชน
และฐานะของความเป็นรัฐไม่ได้กำเนิดขึ้นมาโดยสัญญาประชาคม
ตามแนวคิดตะวันตกแต่กำเนิดขึ้นโดยกลุ่มอำนาจ กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง
อาจจะอ้างสิทธิการสืบทอดอำนาจตามจารีตประเพณี อาจจะเอาปืนใหญ่ เอากองทัพมาชี้
หรือเอาผู้คนหมู่มากมาอ้างเอาเป็นของในกลุ่มพวกตนเอง หรืออาจจะสมมติตนเองดื้อๆ
ก็แล้วแต่จะสถาปนาขึ้น หรือ ฯลฯ แล้วก็อุปโลกเอาดินแดน ขีดเส้น แบ่งกันบนแผนที่
หรือ กำหนดเอาตามตำนาน เป็นต้น นี่คือกำเนิดของปัญหาอีกหนึ่งปัญหา
คือไม่ใช่แค่เพียง มาจากการกำเนิดของรัฐชาติ แต่ปัญหามาจากโครงสร้างทางกฎหมาย
การบริหาร การดำเนินนโยบายและการใช้กลไกปกครองที่ไม่มีประสิทธิภาพ
มาจากการพัฒนาที่เลือกปฏิบัติ มาแต่ต้น นอกจากนั้น ปัญหาเกี่ยวโยงทางประวัติศาสตร์
การศึกษา มาสู่วัฒนธรรม ที่มีคติ กดขี่ และผลักไสคนอื่น กลุ่มอื่น
ให้หลุดพ้นไปจากสิทธิควรได้รับอีกด้วย
ข้อเสนอแนะ
1.
ข้อเสนอแนะด้านแนวคิดพื้นฐานในการจัดหารสถานการณ์คนไร้สัญชาติ
1.1การจัดตั้งหน่วยงานทะเบียนคนไร้สัญชาติ
งานเกี่ยวกับการขจัดความไร้สัญชาติเป็นงานที่จำเป็นต้องมีการกำหนด
“นโยบายและแผนงาน” และต้องการความเชี่ยวชาญในกฎหมายว่าด้วยสถานะบุคคลซึ่งค่อนข้างจะซับซ้อน
ไม่ว่าจะเป็นงานพิสูจน์สัญชาติไทยให้แก่บุคคลที่ได้รับการขึ้นทะเบียน
งานพิสูจน์ความไร้สัญชาติให้แก่บุคคลที่ได้รับการขึ้นทะเบียนที่ได้รับการตรวจสอบแล้วว่าไม่มีสัญชาติไทย
งานติดตามความคืบหน้าและประเมินผลการให้สถานะบุคคลตามกฎหมายไทยที่เหมาะสมให้แก่คนไร้สัญชาติที่ได้รับการกำหนดสถานะแล้ว
และงานกำหนดสถานะบุคคลตามกฎหมายไทยที่เหมาะสมให้แก่คนไร้สัญชาติที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว
เพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวแล้วเสร็จจึงต้องการบุคลากร ต้องการเวลามากและต้องการความต่อเนื่องของงาน
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องกำหนด “องค์กร” หรือ “หน่วยงานเฉพาะ” ขึ้นมารับผิดชอบงานนี้
เพื่อทำหน้าที่เป็น “องค์กรเจ้าภาพ” ผลักดันงานไร้สัญชาติให้เสร็จสิ้นตามนโยบายและแผนงาน
1.2การจัดทำฐานข้อมูลอัตลักษณ์ของบุคคลไร้สัญชาติและคนชายขอบ
จากการที่รัฐบาลได้ริเริ่มนโยบายและเร่งทำการ “จดทะเบียนคนไร้สัญชาติในประเทศไทย” เพื่อที่จะได้ทราบจำนวนที่แน่นอนระดับหนึ่งของบุคคลที่ประสบปัญหาไร้สัญชาติ
และทราบปัญหาพร้อมทั้งสามารถกำหนดแนวคิดและแนวทางในการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม
ดังนั้นเพื่อให้ได้ฐานข้อมูลอัตลักษณ์ของบุคคลไร้สัญชาติ
จึงควรมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการเก็บข้อมูลรายละเอียดของบุคคลและครอบครัว
อาทิ การสแกนลายนิ้วมือ การจัดทำข้อมูลอัตลักษณ์บุคคลไร้สัญชาติในระดับชุมชน
เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการพิสูจน์ความไร้สัญชาติเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว
ป้องกันการสวมประวัติและสิทธิ
ลดการทำงานซ้ำซ้อนเมื่อมีการสำรวจสถานะบุคคลใหม่ในการรับจดทะเบียนคนไร้สัญชาติในประเทศไทย
2.ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการเพื่อรักษาสิทธิมนุษยชนของคนไร้สัญชาติในประเทศไทย
2.1 การออกเอกสารรับรองสถานะบุคคลให้แก่คนไร้สัญชาติไทย
กรณีบุคคลไร้สัญชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลานานและระหว่างกระบวนการตรวจสอบความเป็นคนไร้สัญชาติของบุคคลที่ร้องขอขึ้นทะเบียนเป็น
“คนไร้สัญชาติในประเทศไทย” รัฐบาลควรออกเอกสารรับรองสถานะบุคคลให้แก่คนไร้สัญชาติเหล่านั้น
โดยเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงการรับรองความเป็น “มนุษย์”
ของบุคคลดังกล่าวในประเทศไทยเท่านั้น
ทั้งนี้เพื่อให้เขาเหล่านั้นได้เข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน ปัจจัย 4 คือ ที่อยู่อาศัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค
เพื่อการดำรงชีวิตและความมั่นคงในชีวิตที่ดีขึ้น
2.2 การให้สิทธิในการประกอบอาชีพแก่คนไร้สัญชาติในแระเทศไทย
การให้สิทธิในการประกอบอาชีพแก่คนไร้สัญชาติในแระเทศไทยหากจะวิเคราะห์ปัญหาในเชิงลบ
พบว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องยังมีความเชื่อว่า
การปล่อยให้คนไร้สัญชาติประกอบอาชีพแบบไม่มีใบอนุญาต
น่าจะมีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติมากกว่า
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นความเข้าใจที่ไม่สอดคล้องต่อความเป็นจริง
เนื่องจากประเทศไทยย่อมไม่อาจเก็บภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากบุคคลมิได้แจ้งการประกอบอาชีพต่อรัฐและปัญหาการแย่งอาชีพคนสัญชาติไทยก็เกิดในความเป็นจริง
โดยที่ภาคราชการไม่อาจถึงปัญหาได้เลย
อีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “คนไร้สัญชาติที่มีสิทธิอาศัยในประเทศไทย”
ประสบปัญหาในการประกอบอาชีพ ทั้งที่มีกฎหมายให้สิทธิแล้ว
ก็เพราะยังม่ายมีประกาศกำหนดอนุญาตให้บุคคลดังกล่าวทำงานใน “งานสายที่ตนจบการศึกษามา”
จึงจำเป็นจะต้องเร่งแก้ปัญหานี้ เนื่องจากปัจจุบันนโยบายในด้านการศึกษาได้ให้โอกาสสำหรับคนไร้สัญชาติได้มีโอกาสในการศึกษามากขึ้น
แต่ผลกระทบทางข้อเท็จจริงต่อสังคมไทยก็คือ (1)
บุคคลดังกล่าวจึงไม่อาจหารงานทำได้ตามวุฒิการศึกษา
เนื่องจากนายจ้างไม่กล้าจะรับเข้าทำงาน (2)
หากนายจ้างรับเข้าทำงาน ทั้งนายจ้างและลูกจ้างก็ตกเป็นผู้กระทำผิดกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างด้าว
(3)
คนไร้สัญชาติที่เป็นลูกจ้างย่อมเสียสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงานในลักษณะเดียวกับลูกจ้างในระบบ
(4)
ประเทศไทยเสียผลประโยชน์ที่จะใช้ทรัพยากรบุคคลที่ผลิตในระบบการศึกษาไทยในการพัฒนาประเทศไทย
ดังนั้น การให้สิทธิในการประกอบอาชีพแก่คนไร้สัญชาติในประเทศไทย จึงเป็นความจริง
การปฏิเสธที่จะยอมรับสิทธิในการทำงานของคนไร้สัญชาติที่จบการศึกษาในระบบการศึกษาไทยน่าจะเป็นภัยต่อความมั่นคงทั้งทางสังคมและเศรษฐกิจของประเทศไทย
นอกจากนี้รัฐบาลควรมีนโยบายพัฒนาฝีมือและทักษะคนไร้สัญชาติเพื่อเป็นแรงงานที่มีคุณภาพ
โดยคนไร้สัญชาติที่เกิดในประเทศไทยและจบการศึกษาในระบบของไทยควรจะได้รับการพัฒนาทักษะให้เป็นแรงงานที่มีคุณภาพเพื่อส่งแรงงานเหล่านี้เข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมและเป็นการป้องกันการนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน
2.3 การจัดการบริหารแรงงานต่างด้าวแบบเบ็ดเสร็จ
คนไร้สัญชาติกับแรงงานต่างด้าวเป็นบุคคลเดียวกันเขาเข้ามาอาศัยอยู่บริเวณชายแดนด้วยเหตุผลวิกฤติทางสงคราม
ด้วยวิกฤติทางเศรษฐกิจที่เขาจำเป็นต้องแสวงหาที่อยู่ที่ดีกว่า
เพื่อความอยู่รอดของชีวิต ซึ่งถ้าพวกเขาอยู่เฉยๆในบริเวณชายแดน
คนพวกนี้ก็จะถูกมองว่าเป็นคนไร้สัญชาติ
แต่ถ้าเมื่อใดคนเหล่านี้เข้ามาทำงานในเมืองก็จะกลายเป็นแรงงานต่างด้าวทันที
ด้วยจุดอ่อนด้านกฎหมาย โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าวที่มีส่วนเกี่ยวข้องในหลายประเด็น
ได้แก่ ความมั่นคงของประเทศ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ และความมั่นคงในมนุษย์ ดังนั้น
เพื่อให้เกิดความสมดุลในการบริหารแรงงานต่างด้าวควรมีการกำหนดนโยบายเป็นภาพรวม
โดยมองภาพรวมใหญ่ความมั่นคงของประเทศเป็นลำดับหนึ่ง อันดับที่สองคือ
ความมั่นคงของทางเศรษฐกิจที่จะทำให้ประเทศอยู่ได้ อันดับที่สามคือ ความมั่นคงของมนุษย์
จะเห็นได้ว่าความมั่นคงของทั้งสามส่วนไม่สามารถแยกกันได้เลย ดังนั้น
ควรจะได้มีการจัดการบริหารแรงงานต่างด้าวเบ็ดเสร็จในระดับพื้นที่
โดยเริ่มในท้องถิ่น อบต. เทศบาล ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน
เป็นหน่วยงานรวบรวมข้อมูลในการขึ้นทะเบียน แล้วส่งต่อให้หน่วยงานปกครองเพื่อประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำให้เกิดการบริหารการจัดการแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่
3.ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการสร้างความเข้าใจในแนวคิดและวิธีการในการกำหนดสถานะบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมายไทยแก่คนไร้สัญชาติ
ข้อเสนอแนะการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดและวิธีการให้สัญชาติไทยแก่ผู้นำชุมชน
สมาชิกในชุมชน และคนไร้สัญชาติ
ทั้งนี้เพื่อสร้างความเข้าใจและลดอคติต่อการให้สัญชาติแก่คนไร้สัญชาติที่มักถูกมองว่าคนเหล่านี้เป็นภัยต่อความมั่นคงและเป็นภาระของสังคม
เนื่องจากปัจจุบันความเข้าใจในกระบวนการให้สัญชาติยังมีช่องว่างของความเข้าใจต่อคนทั่วไป
นอกจากนี้รัฐบาลควรสร้างความเข้าใจว่าคนไร้สัญชาติประเภทใดที่จะได้รับการพิจารณาให้สัญชาติ
อาทิ คนไร้สัญชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมาเป็นระยะเวลานานๆ
จนเกิดความกลมกลืนทางสังคมและวัฒนธรรมกับประเทศไทย
คนไร้สัญชาติที่แม้เพิ่งเข้ามาในประเทศไทย แต่มีเชื้อชาติไทย คนไร้สัญชาติที่แม้เพิ่งเข้ามาในประเทศไทยได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศไทย
และคนไร้สัญชาติที่บิดามารดาหรือคู่สมรสเป็นคนสัญชาติไทยหรือเป็นคนต่างด้าวที่มีสิทธิอาศัยในลักษณะถาวรในประเทศไทย
เป็นต้น โดยข้อเท็จจริง จะเห็นว่ากระบวนการให้สัญชาติไทยแก่ชนกลุ่มน้อยที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยและไม่อาจส่งกลับไปยังประเทศต้นทางนั้น
มีมาโดยตลอดแต่ปัญหาก็คือ ความล่าช้าจนเกินสมควร
อันนำไปสู่สถานการณ์ที่เอื้อต่อการทุจริตในวงราชการ
และการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่ตกอยู่ในปัญหาความไร้รัฐสัญชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น