วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

ปัญหาค่านิยมกับการทำศัลยกรรมของวัยรุ่นไทย นางสาวทัศนีย์ น้อยเลิศ 53241943


บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง ปัญหาค่านิยมกับการทำศัลยกรรมของวัยรุ่นไทย


                              ความสวยความงามเป็นเรื่องจำเป็นโดยเฉพาะกับเพศหญิง ซึ่งเป็นเพศที่รักสวยรักงามเป็นพิเศษตามธรรมชาติอยู่แล้ว แน่นอนว่าหากมีรูปร่างหน้าตาที่สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้พบเห็นได้ ความมั่นใจก็ย่อมเกิดขึ้นและสิ่งที่ตามมาก็ย่อมส่งผลดีไปด้วย อย่างน้อยที่สุดก็เป็นการเสริมสร้างกำลังใจตามหลักจิตวิทยาทั่วๆไป ความประทับใจครั้งแรกย่อมทำให้ผู้พบเห็นเข้ามาอย่างเป็นมิตร มีความคิดด้านบวกกับเราได้ดีกว่า เรื่องรูปร่างหน้าตาเป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในการมองหรือตัดสินคนของปุถุชนอยู่บ้างไม่มากน้อย  ในกรณีที่คนสองคนมีพฤติกรรมในสิ่งเดียวกัน กับคนหนึ่งเราอาจจะพร้อมที่จะตำหนิเขาขณะที่อีกคนเราพร้อมจะให้อภัยในความที่ยังไม่ประสา ปัจจัยเหล่านี้ล้วนถูกแสดงออกมาจากความอคติภายใน ซึ่งเราเองอาจจะไม่มีวันรู้ตัวว่ามีความรู้สึกเหล่านี้เจือปนอยู่มากน้อยเพียงใดจากการรับรู้ทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ไม่ว่าจะเป็น หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่สามารถทำให้ปุถุชนคนธรรมดาโน้มเอียงได้                                                     คนเราไม่สามารถเลือกเกิดได้และมีสิทธิ์ไม่พออกพอใจกับใบหน้าหรือรูปร่างของตนได้เช่นกัน        ซึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ก็สามารถที่จะเนรมิตให้ดูดีขึ้นได้จากการทำศัลยกรรมเพื่อเสริมความงาม  ศัลยกรรมเสริมความงามได้กลายเป็นเรื่องปกติที่ใครๆก็ทำกัน  ยิ่งในประเทศเกาหลีที่ถูกจัดให้เป็นเมืองแห่งศัลยกรรมด้วยแล้ว การทำศัลยกรรมแทบจะกลายเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกระทำ ความสวยความดูดีสามารถเนรมิตได้ภายในพริบตา ในยุคที่กระแสวัฒนธรรมจากแดนกิมจิไหลบ่าไปทั่วทุกสารทิศ โดยเฉพาะในประเทศแถบเอเชียที่พากันเจริญรอยตาม  ประเทศไทยเองก็เช่นกัน ที่กระแสศัลยกรรมมาแรงเอามากๆ ทั้งในกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา นักร้อง และบรรดาหนุ่มสาว ทั้งหลายที่ต่างมีเป้าหมายที่จะทำให้ตัวเองดูดีขึ้น โดยการอาศัยศัลยกรรมเสริมความงาม
ปัจจุบันศัลยกรรมเสริมความงามได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ศัลยกรรมเสริมความงามยังเป็นปรากฏการณ์ที่ได้รับความสนใจอย่างสูงทั้งในวงการแพทย์ จิตวิทยา และสังคมวิทยา ว่าเพราะเหตุใดศัลยกรรม เสริมความงามจึงมีกระแสความนิยมสูงมากในช่วง 2 - 3 ทศวรรษที่ผ่านมา
จากผลงานวิทยานิพนธ์เรื่อง "อิทธิพลของความนิยมความสมบูรณ์แบบต่อเจตคติในการทำ ศัลยกรรมเสริมความงาม โดยมีการนำเสนอตนเองด้วยความสมบูรณ์แบบและการซึมซับจากวัฒนธรรม สังคมเป็นตัวแปรส่งผ่าน" โดย อ.กมลกานต์ จีนช้าง สาขาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาฯ ซึ่งได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่นประเภทนิสิตมหาบัณฑิต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปี 2554 เป็นงานวิจัย เชิงประยุกต์ที่ศึกษาถึงสาเหตุการเลือกใช้ศัลยกรรมเสริมความงามเป็นวิธีการปรับปรุงรูปลักษณ์ของผู้หญิงไทย เนื่องจากในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมาการทำศัลยกรรมเสริมความงามเป็นที่นิยมมากขึ้นในหลายประเทศ และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเราทั้งเพศหญิงและเพศชาย จากการศึกษาวิจัยทางจิตวิทยาพบว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศัลยกรรมเสริมความงามได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเนื่องจากความไม่พึงพอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง จึงต้องการจะเปลี่ยนแปลงให้รูปร่างหน้าตาดูดียิ่งขึ้น หลายคนมักจะหมกมุ่นกับเรื่องความงามและรูปร่างหน้าตาเป็นสำคัญ ทั้งนี้ผู้ที่มีลักษณะวัตถุนิยมสูงและมีแนวโน้มในการมองร่างกายเป็นเสมือนวัตถุ การทำร่างกายให้ดูดีโดดเด่นด้วยการทำศัลยกรรม ทำให้ตนเองรู้สึกว่ามีคุณค่าและความภาคภูมิใจ นอกจากนี้ปัจจัยทางสังคม ได้แก่ กระแสสังคมยุคปัจจุบันที่นิยมชมชอบดารานักแสดง ที่มีหน้าตาสวยงาม และยอมรับว่าผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามมาแล้ว ทำให้คนบางกลุ่ม เช่น วัยรุ่นยอมรับค่านิยมในเรื่อง ความสวยเหมือนดารา และมองว่าการทำศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด แต่กลับช่วยทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ปัจจุบันกลุ่มคนที่ทำศัลยกรรมเสริมความงามจึงไม่ใช่เฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยเท่านั้น
ในงานวิจัยเรื่องนี้  ได้เลือกศึกษาปัจจัยทางจิตวิทยาที่อาจเป็นสาเหตุให้บุคคลเลือกทำศัลยกรรมเสริมความงามใน ๓ ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัยภายในคือ ความนิยมความสมบูรณ์แบบ การนำเสนอตนเองด้วยความสมบูรณ์แบบ และปัจจัยภายนอกคือการซึมซับค่านิยมทางวัฒนธรรมสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ทำการศึกษาวิจัยเป็นนิสิตนักศึกษาหญิงในมหาวิทยาลัยทั้งของรัฐและเอกชน จำนวน ๖๓๕ คน ในการวิเคราะห์ข้อมูล มีการใช้โมเดลสมการเชิงโครงสร้างในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งสามารถอธิบายผลการวิจัยได้อย่างแม่นยำ ผลการศึกษาวิจัยพบว่า ปัจจัยในเรื่องความนิยมความสมบูรณ์แบบอาจไม่มีอิทธิพลโดยตรงต่อเจตคติในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม แต่สิ่งที่พบคือผู้ที่นิยมความสมบูรณ์แบบและชอบที่จะนำเสนอตนเองจะมีเจตคติทางบวกต่อการทำศัลยกรรม การนำเสนอตนเองจึงมีอิทธิพลส่งผ่านระหว่างความนิยมความสมบูรณ์แบบกับเจตคติในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ในขณะเดียวกัน ปัจจัยภายนอกทางด้านการซึมซับค่านิยมทางวัฒนธรรมสังคมมีอิทธิพลค่อนข้างมากต่อเจตคติในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ทั้งนี้ยังได้พัฒนามาตรวัดลักษณะความนิยมความสมบูรณ์แบบที่มีองค์ประกอบที่เหมาะสำหรับนำมาใช้ศึกษาเรื่องรูปร่างหน้าตา ความงาม และลักษณะอื่นๆที่สัมพันธ์กับความนิยมความสมบูรณ์แบบ ซึ่งแตกต่างไปจากมาตรวัดความนิยมความสมบูรณ์แบบอื่นๆก่อนหน้านี้ที่อาจไม่เหมาะที่จะนำมาศึกษาวิจัยร่วมกับตัวแปรความงามเรื่องรูปร่างหน้าตา นอกจากนี้ยังได้พัฒนามาตรวัดการนำเสนอตนเองด้วยความสมบูรณ์แบบ มาตรวัดการซึมซับจากวัฒนธรรมสังคม และมาตรวัดเจตคติในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม เพื่อใช้กับบริบทสังคมไทย
สมาคมศัลยกรรมเสริมความงามนานาชาติ เผยผลสำรวจความนิยมในการทำศัลยกรรม พบประเทศไทยทำศัลยกรรมมากเป็นอันดับที่ 20 ของโลก โดยผลงานวิจัยดีเด่นของอาจารย์จุฬาฯพบว่า นิสิตนักศึกษาเสริมจมูกมากที่สุด เพราะไม่พึงพอใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง

สมาคมศัลยกรรมเสริมความ งามนานาชาติ เปิดเผยผลสำรวจแนวโน้มการทำศัลยกรรมใน 25 ประเทศ พบว่า ประเทศที่ทำศัลยกรรมมากที่สุด คือ สหรัฐอเมริกา รองลงมา คือ บราซิล จีน อินเดีย ส่วนไทยอยู่อันดับที่ 20 ของโลก ทั้งนี้ ธุรกิจศัลยกรรมในประเทศไทย มีมูลค่าสูงถึง 14,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10 ต่อปี
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้น ได้มีผลงานวิจัยดีเด่นเรื่อง อิทธิพลของความนิยมความสมบูรณ์แบบต่อเจตคติในการทำศัลยกรรมเสริมความงาม โดยมีการนำเสนอตนเองด้วยความสมบูรณ์แบบและการซึมซับจากวัฒนธรรมสังคมเป็นตัวแปรส่งผ่านของน.ส.กมลกานต์ จีนช้าง อาจารย์ประจำสาขาวิชาจิตวิทยาสังคม คณะจิตวิทยา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งได้ใช้กลุ่มตัวอย่างจากนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐ 4 แห่ง และเอกชน 4 แห่ง รวม 635 คน แบ่งเป็นภาครัฐ 375 คน และเอกชน 260 คน พบว่า นิสิตนักศึกษามีการทำจมูกมากที่สุด รองลงมาเป็นการยิงเลเซอร์ลบริ้วรอย ทำตา เสริมหน้าอก และผ่าตัดแก้ไขรูปหน้า 
จากการวิจัยพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศัลยกรรมเสริมความงามได้รับความนิยม เกิดจากความไม่พึงพอใจในรูปลักษณ์ของตนเอง  จึงต้องการจะเปลี่ยนแปลงให้รูปร่างหน้าตาดูดียิ่งขึ้น หลายคนมักจะหมกมุ่นกับเรื่องความงามและรูปร่างหน้าตาเป็นสำคัญ เป็นคนมีลักษณะวัตถุนิยมสูง และมีแนวโน้มในการมองร่างกายเป็นเสมือนวัตถุ การทำร่างกายให้ดูดีโดดเด่นด้วยการทำศัลยกรรม ทำให้ตนเองรู้สึกว่ามีคุณค่าและความภาคภูมิใจ
ในปัจจุบันการทำศัลยกรรมถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่กำลังได้รับความนิยมจากคนจำนวนมาก ไม่เฉพาะในหมู่สาว ๆ ที่อยากจะสวยขึ้นเท่านั้น แต่ในหมู่หนุ่ม ๆ ก็เช่นกัน ด้วยค่านิยมและทัศนคติต่อการศัลยกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้คนในยุคนี้ตัดสินใจเดินเข้าคลินิกศัลยกรรมได้ง่ายขึ้น จึงไม่แปลกที่แต่ละวัน คลินิกศัลยกรรมจะมีสาว ๆ เข้ามาใช้บริการอย่างมากมาย
 สิ่งที่ทำให้การทำศัลยกรรมกลายเป็นที่นิยมในทุกวันนี้ เห็นจะเป็นเพราะเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้าขึ้น ทำให้การทำศัลยกรรมมีความปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับอดีต ค่านิยมการ "เสริมแล้วสวย" จึงค่อย ๆ เกิดขึ้น และขยายวงกว้างมากขึ้น จากในอดีตที่นิยมทำกันในหมู่คนวัยทำงาน ปัจจุบันการทำศัลยกรรมเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่นิสิตนักศึกษาวัยมหาวิทยาลัย หรือแม้แต่ในวัยมัธยมก็เริ่มพบเห็นได้มากขึ้นแล้ว และมีวี่แววว่าจะกลายเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ
 แรงจูงใจสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นไทยหันมาทำศัลยกรรมกันอย่างแพร่หลายในทุกวันนี้ นั่นคือ การที่พวกเขามองเห็นตัวอย่างมากมายในสังคม  มองเห็นบุคคลรอบข้างที่ผ่านการทำศัลยกรรมแล้วสวยขึ้น ดูดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการบันเทิง ถือเป็นตัวอย่างที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนที่สุด เพราะเป็นวงการสาธารณะและเป็นวงการที่ผู้คนให้ความสนใจอยู่ทุกวัน ซึ่งเมื่อมีข่าวดาราหลาย ๆ คนสวยด้วยแพทย์ และดาราเหล่านั้นก็ได้ยอมรับว่าการทำศัลยกรรมทำให้พวกเธอสวยขึ้นและมั่นใจในตัวเองมากขึ้นจริงแล้ว ก็ยิ่งทำให้วัยรุ่นไทยมีความมั่นใจในการทำศัลยกรรมมากขึ้นไปอีก   และยิ่งไปกว่านั้น ในยุคที่เกาหลีมีอิทธิพลกับวัยรุ่นไทยอย่างทุกวันนี้ จึงไม่ใช่แค่ดาราไทยเท่านั้น แต่ดาราเกาหลีก็มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทำศัลยกรรมของวัยรุ่นไทยไม่น้อยไปกว่ากัน และดูเหมือนจะได้รับความสนใจมากกว่าดาราไทยเสียอีก จะเห็นได้จากการเผยแพร่รูปถ่ายของดารา เกาหลีก่อนและหลังทำศัลยกรรมไปตามหน้าเว็บต่าง ๆ หรือ ฟอร์เวิร์ดเมล์  โดยรูปถ่ายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า การศัลยกรรมนั้นสามารถเปลี่ยนคนหน้าตาธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นตุ๊กตาบาร์บี้ได้อย่างมหัศจรรย์  และจากปัจจัยดังกล่าว ทำให้วัยรุ่นไทยจำนวนไม่น้อย บินลัดฟ้าไปเนรมิตหน้าตาตัวเองถึงประเทศเกาหลี ด้วยความต้องการอยากเปลี่ยนแปลงหน้าตาของตัวเองให้กลายเป็นหน้าตาอย่างสาวเกาหลีที่กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ ถึงขั้นมีการจัดทัวร์ศัลยกรรมขึ้นมาเลยทีเดียว
ศัลยกรรมเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในวิชาทางการแพทย์ ไม่ได้ถูกจำกัดความให้อยู่ที่การผ่าตัดเปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาให้ดูดีขึ้นมาเท่านั้น  ความหมายของศัลยกรรมจริงๆ คือ การผ่าตัดนั้นเอง แต่เมื่อพูดถึงคำว่า ศัลยกรรม แล้วคำนี้กลับสื่อออกมาในลักษณะของการผ่าตัด เพื่อเสริมความงามมากกว่า ในขณะที่คำว่าผ่าตัดกลับใช้เน้นหนักไปในทางของการรักษา วิชาทางการแพทย์แขนงนี้เน้นไปที่การผ่าตัดเพื่อช่วยชีวิตคน รวมถึงการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ของร่างกายที่กำลังจะพิกลพิการให้กลับใช้งานได้ดีดั่งเดิม
 มนุษย์เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการผ่าตัดหรือศัลยกรรมมาก่อนคริสตกาล ในยุคของโรมันมีศัลยแพทย์ชื่อดังอย่าง ออเลียส คอร์เนเลียส เซลซัส ส่วนกรีกก็มีศัลยแพทย์ฝีมือดีอย่าง พอลออฟเอจีนา และเชื่อกันว่า กษัตริย์ของโรมันอย่างจูเลียส ซีซาร์ คือบุคคลแรกที่ประสูติโดย การผ่าตัดหรือศัลยกรรมในช่วงต้นของความรู้ทางการแพทย์ในแขนงนี้ ประสบกับปัญหาต่างๆมากมายไม่ว่า จะเป็นเรื่องของความเจ็บปวดที่ผู้เข้ารับการรักษาจะได้รับ เพราะยังไม่มีการใช้ยาชาหรือยาสลบก่อนจะลงมือผ่าตัด หรือปัญหาการติดเชื้อที่จะเกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัด จนทำให้เกิดเป็นหนองอักเสบ และบางรายอาจจะลุกลามจนถึงขั้นเสียชีวิต เพราะการติดเชื้อไปเลยก็ได้  แต่ปัญหาต่างๆของการศัลยกรรมได้รับการแก้ไขเรื่อยมาจนปัจจุบัน ศัลยกรรมได้กลายเป็นศาสตร์ที่สำคัญในทางการแพทย์ และมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ และรักษาชีวิตของคนไข้  กลวิธีที่ทำให้ผู้ป่วยสลบก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดมีมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1800 โดยนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ เซอร์ ฮัมเฟรย์ เดวี (Sir Humphrey Davy) ได้ใช้ ไนทรัสออกไซด์ เพื่อทำให้ผู้ป่วยสลบก่อนเข้ารับการผ่าตัด แต่ในขณะนั้นการทำให้ผู้ป่วยสลบก่อนการผ่าตัด ยังไม่แพร่หลายมากนัก  แต่ภายหลังเริ่มเป็นที่ยอมรับมากขึ้น เพราะสามารถลดอาการเจ็บปวดของผู้รับการผ่าตัดได้ และช่วยให้การผ่าตัดสามารถดำเนินการไปได้ด้วยดี มีการทดลองใช้ยาสลบหลายๆ ขนาน ทั้งการนำอีเทอร์มาทำเป็นยาสลบ  การนำเอาคลอโรฟอร์มมาช่วยในการคลอดบุตร เรื่องยาสลบที่ใช้ในการผ่าตัดมีการพัฒนามาเรื่อยจนกระทั่งแยกเป็นสาขาวิญสัญญีแพทย์ที่ว่าด้วยการวางยาสลบผู้ป่วยโดยเฉพาะ
 ส่วนปัญหาการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด ก็ถูกแก้ปัญหาลงเช่นกันในครั้งแรกนั้น อิกนาซ ฟิลิปป์ เซมเมลไวสส์ (Ignaz Philipp Semmelweiss) แพทย์ชาวฮังการี เสนอแนะให้ล้างมือและอุปกรณ์ในการผ่าตัดรวม ทั้งการเอาใส่ใจดูแลเรื่องความสะอาดในขณะผ่าตัด ซึ่งช่วยลดอาการติดเชื้อหลังการผ่าตัดลงได้มาก แต่ในขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่าต้นเหตุที่แท้จริงของการติดเชื้อมาจากเชื้อจุลินทรีย์ จนกระทั่ง หลุยส์ ปาสเตอร์(Louis Pasteur)สามารถพิสูจน์ได้ในภายหลังว่า แท้ที่จริงแล้วจุลินทรีย์  ทำให้เกิดการอักเสบ  การค้นพบของหลุยส์ ปาสเตอร์นี้เองที่ทำให้การแก้ปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัดลดลงได้อย่างมากในยุคต่อมาการผ่า จนศัพท์ทางการแพทย์เรียกวิธีการคลอดแบบนี้ว่า Caesarean Section
  สำหรับประเทศไทยการผ่าตัดเกิดขึ้นครั้งแรกในต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อหมอบรัดเลย์ มิชชันนารีชาวอเมริกัน  ได้ผ่าตัดเอาฝีขนาดใหญ่เหนือคิ้วซ้ายของชายชาวพระนครที่มีลักษณะเหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2378 โดยการผ่าตัดในครั้งนั้นไม่ได้ใช้ยาสลบแต่อย่างใดแต่การผ่าตัดก็สามารถลุล่วงไปได้ด้วยดี
ศัลยกรรมตกแต่งซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในขณะนี้ เป็นศาสตร์ย่อยของการศัลยกรรมในความหมายทั่วไปซึ่งสามารถแบ่งศัลยกรรมตกแต่งออกได้เป็นสองลักษณะด้วยกันขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ในการทำศัลยกรรมเป็นหลักใหญ่
1.ศัลยกรรมเสริมสร้าง ( Reconstructive Surgery )
  เป็นการศัลยกรรมเพื่อเป้าหมายในการรักษา ปรับปรุง ส่วนที่ผิดปรกติของร่างกายไม่ว่าจะเป็นเพราะความผิดปรกติที่ติดตัวมาตั้งแต่ครั้งยังถือกำเนิดหรือความผิดปรกติที่เกิดขึ้นในภายหลังทั้งจากอุบัติเหตุและเหตุจำเป็นอย่างอื่น  ศัลยกรรมประเภทนี้มุ่งเน้นไปในทางการรักษา หรือฟื้นฟูส่วนที่ร่างกายเกิดผิดปรกติไป  เช่น การผ่าตัดโรคปากแหว่ง เพดานโหว่ ที่ผู้ป่วยบางรายเป็นโรคดังกล่าวมาแต่กำเนิด หรือการผ่าตัดอวัยวะที่พิการ อย่างเช่นอาการ ผนังหัวใจรั่ว หัวใจพิการ การตัด หลอดเลือดตีบ เป็นต้น โดยต้องการให้อาการผิดปรกติของอวัยวะในร่างกายกลับใช้งานได้เป็นปรกติอย่างเดิม
2. ศัลยกรรมความงาม ( Aesthetic Surgery )
 ศัลยกรรมประเภทนี้ มีเป้าหมายหลักในการเสริมความงามโดยเฉพาะ ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมและกลายเป็นกระแสในหมู่คนหนุ่มคนสาวและวัฒนธรรมเกาหลี หลายๆคนเก็บหอมรอมริบเพื่อหวังว่าสักวันจะมีรูปร่างใบหน้าที่สวยงาม ชวนมอง บางรายตั้งเป้าว่าจะบินไปเปลี่ยนโฉมถึงดินแดนกิมจิอันถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งศัลยกรรม
ในระยะแรกของการศัลยกรรมความงามในเมืองไทยนั้นเน้นไปที่การแก้ไขเยียวยาความบกพร่องของร่างกายเพื่อให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ในสังคมอย่างปรกติสุข ก่อนที่จะเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนกลางคืนและเปลี่ยนไปตามยุคสมัย จนในปัจจุบันค่านิยมในการทำศัลยกรรมเริ่มแพร่หลายในกลุ่มคนทั่วไปทั้งในพนักงานบริษัท และ กลุ่มนิสิตนักศึกษา โดยอวัยวะซึ่งเป็นที่นิยมในการทำศัลยกรรมความงามในปัจจุบันนั้น มักเน้นไปที่การ ลบรอยแผลเป็น รักษาผิวจากรอยสิว ทำหน้าใส กรีดตาสองชั้น เสริมจมูก เสริมคาง ตัดกรามทำหน้าเรียว เสริมหน้าอก  ฉีดปากอวบอิ่มหรือผ่าตัดปากบาง 
วิทยาความก้าวหน้าในทางด้านศัลยกรรมเพื่อความงามของไทยนั้น ถือได้ว่าจัดอยู่ในระดับแถวหน้าเลยทีเดียว เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวปรากฏทางหน้าหนังสือพิมพ์ว่าแท้จริงแล้ว วิชาการศัลยกรรมเพื่อความงามของไทยนั้น ก้าวหน้ากว่าประเทศเกาหลีมากกว่า 30 ปี  จึงไม่น่าแปลกใจที่ในแต่ละปีจะมีชาวต่างชาติมุ่งหน้ามาเมืองไทย โดยมีเป้าหมายหลักในการทำศัลยกรรมความงาม  ด้วยค่าแรงที่ถูกกว่าและฝีมืออยู่ในระดับที่เชื่อถือได้ เป็นสองเหตุผลที่ทำให้คนต่างชาติที่เดินทางเข้ามาทำศัลยกรรมในเมืองไทย เช่นเดียวกับสถานบริการเกี่ยวกับศัลยกรรมในเมืองไทยที่ผุดขึ้นราวดอกเห็ด
ในขณะที่ข้อมูลการสำรวจความคิดเห็นของคนไทยต่อวงการศัลยกรรมจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นวัยรุ่นอายุตั้งแต่ 10-25 คน จำนวน 5,000 คน พบว่าร้อยละ 57.7 สนใจอยากทำศัลกรรม โดยพบว่ากลุ่มที่สนใจมากที่สุดอยู่ในช่วงอายุ 18-22 ปี มากถึงร้อยละ 68.88 และเชื่อมั่นในความปลอดภัยต่อการทำศัลยกรรมร้อยละ 59.82 ส่วนจุดที่วัยรุ่นสนใจอยากทำมากที่สุดคือ เสริมจมูก ร้อยละ 59.25 ทำตาสองชั้นร้อยละ 46.82 ผ่าตัดปากร้อยละ 10.12 เสริมคางร้อยละ 2.31 ตัดกรามร้อยละ 2.31 และเสริมหน้าอกร้อยละ 1.73 ข้อมูลข้างต้นนี้ให้เห็นว่าคนไทยนิยมทำศัลกรรมความงามมีอายุน้อยลงและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ศัลยกรรมวัยทีน
ศัลยกรรมไม่ใช่เรื่องของคนมีอายุอีกต่อไป เพราะตอนนี้เทรนด์สวยด้วยแพทย์กำลังได้รับความนิยมในหมู่วัยรุ่นไทยโดยเฉพาะระดับอุดมศึกษา แรงจูงใจในการทำศัลยกรรมมาจากธรรมชาติของวัยรุ่นที่รักสวยรักงาม ดารานักร้อง จึงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่อรูปลักษณ์ที่ดีขึ้น ประกอบกับกระแสเกาหลีฟีเว่อร์ ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในบ้านเรายามนี้ ช่วยนำให้การศัลยกรรมกลายเป็นเรื่องธรรมดา 
7 จุดศัลยกรรมยอดฮิต    นอกจากสาวๆ จะนิยมทำศัลยกรรมแล้ว ตอนนี้ตัวเลขการทำศัลยกรรมในวัยรุ่นชายก็มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ผู้ชายนิยมทำหน้าใส ลบรอยแผลเป็นจากสิว โดย 7 อันดับแรกที่เด็กวัยรุ่นนิยมทำศัลยกรรมกันมากที่สุดคือ
1. ลบรอยแผลเป็น รักษาผิวจากรอยสิว ทำหน้าใส 
2. กรีดตาสองชั้น 
3. เสริมจมูก
4. เสริมคาง
5. ตัดกรามทำหน้าเรียว
6. ฉีดปากอวบอิ่ม หรือผ่าตัดปากบาง
7. เสริมหน้าอก                                                                                                                                                  วัยรุ่นทำศัลยกรรมได้หรือ ???
      คำตอบคือ "ทำได้" อย่าเพิ่งประหลาดใจ ที่เป็นเช่นนี้เพราะจากสถิติวัยรุ่นที่นิยมทำศัลยกรรมส่วนใหญ่มีอายุอยู่ 17 - 18 ปีขึ้นไป ซึ่งถือเป็นช่วงที่เจริญเติบโตเต็มที่ และมีพัฒนาการทางร่างกายใกล้เคียงกับวัยผู้ใหญ่ การทำศัลยกรรมจึงไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อการเจริญเติบโตเลย แต่ถึงกระนั้น นพ.กมล วัฒนไกร เลขาธิการสมาคมศัลยแพทย์ตกแต่งแห่งประเทศไทย และผู้อำนวยการกองศัลยกรรม รพ.ภูมิพลอดุลยเดช ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า   "วัยรุ่นเป็นวัยที่มีความสดใสสวยงามตามธรรมชาติ ซึ่งไม่สามารถเรียกคืนกลับมาได้เมื่อผ่านช่วงวัยนี้ไป วัยรุ่นจึงควรพอใจกับความงามนี้ ไม่รีบร้อนทำศัลยกรรมตามกระแส ควรรอให้โตเต็มที่และมีวุฒิภาวะเพียงพอ จะได้ไม่เสียใจภายหลังหากเข้าสู่วัยผู้ใหญ่และไม่พอใจกับสิ่งที่ตนมีและเป็นอยู่ เมื่อนั้นค่อยมาทำศัลยกรรมก็ยังไม่สาย" 
สำหรับวัยรุ่นที่อายุต่ำกว่า 20 การทำศัลยกรรมจะต้องได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ปกครอง มิฉะนั้นแพทย์ไม่อาจผ่าตัดให้ได้ เนื่องจากผิดบัญญัติแพทยสภา ดังนั้นก่อนจะทำศัลยกรรมจึงควรปรึกษาผู้ปกครองขอความเห็นชอบก่อน และต้องเผื่อใจไว้สักนิดหากแพทย์ลงความเห็นว่าไม่ควรทำ เนื่องจากคนไข้ไม่มีปัญหากับส่วนที่คิดจะศัลยกรรม ทำไปก็ไม่เกิดประโยชน์แต่ประการใด
ศัลยกรรมทำชีวิตเปลี่ยนไป
 การทำศัลยกรรมเปรียบเหมือนการนำสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อความสวยงามภายนอกและความสุขทางใจ แต่สิ่งที่เลี่ยงไม่ได้แน่นอนคือไลฟ์สไตล์ที่ต้องเปลี่ยนไป จากเคยเล่นกีฬาผาดโผนหรือใช้ชีวิตกลางแจ้งอาจต้องหลีกเลี่ยง โดยเฉพาะคนที่เสริมจมูก และควรหมั่นสังเกตบริเวณที่ผ่านการศัลยกรรมเสมอว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น จมูกเบี้ยว ปลายจมูกใส อันอาจเกิดจากการเสริมจมูกโด่งเกินไปทำให้ซิลิโคนดันปลายจมูก ทิ้งไว้นานอาจเกิดแผลติดเชื้อลุกลามได้ 
อีกหนึ่งประเด็นเกี่ยวกับการศัลยกรรมที่เคยได้ยินกันบ้างคือ การศัลยกรรมเสริมกระดูกเพื่อเพิ่มความสูงในคนที่ไม่พอใจในความสูงของตน ซึ่งแพทย์ไม่แนะนำเพราะมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานานมาก ที่สำคัญการมีบาดแผลขนาดใหญ่จากการผ่าตัดที่ต้นขาไม่คุ้มกับความสูงที่เพิ่มขึ้นไม่เกิน 1 นิ้ว การศัลยกรรมแบบนี้เหมาะสำหรับผู้พิการแต่กำเนิดหรือจากอุบัติเหตุที่ทำให้ขาทั้งสองข้างยาวไม่เท่ากันมากกว่า                                      สรุปแล้วการศัลยกรรมนั้นมีทั้งเพื่อเสริมสร้างและเสริมสวย สำหรับวัยรุ่นที่มีปัญหาสามารถใช้ประโยชน์จากการศัลยกรรมไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การจัดหรือดัดฟัน ฯลฯ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ แต่ถ้าจะทำเพื่อการเสริมสวยแล้วละก็ อย่าลืมหยุดคิดสักนิด... จะได้ไม่มีคำว่า "เสียใจ" ภายหลัง
วัยรุ่นไทยเกินครึ่ง สนใจการทำศัลยกรรมความงาม
ผล สำรวจเด็กดีโพลต์พบว่า ปัจจุบัน ศัลยกรรมความงามไม่เพียงได้รับความสนใจแพร่หลายและเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร ที่เชื่อถือได้ ทำให้การทำศัลยกรรมความงามไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอย่างเมื่อก่อนเท่านั้น แต่ยังพบข้อมูลที่น่าสนใจกว่าคือ เยาวชนไทยสนใจทำศัลยกรรมความงามมากถึง 57.77% หมายถึงกลุ่มคนที่สนใจและเริ่มทำศัลยกรรมความงามมีอายุเฉลี่ยลดลง หรือหมายถึงคนที่มีอายุน้อยเริ่มสนใจทำศัลยกรรมมากขึ้นนั่นเอง?โดยจากการ สำรวจแยกตามช่วงอายุพบว่า เยาวชนไทยช่วงอายุ 18-22 ปี เป็นกลุ่มที่สนใจทำศัลยกรรมความมากที่สุดถึง 68.88%   เมื่อสอบถามเกี่ยวกับความปลอดภัยในการทำศัลยกรรมพบว่า เยาวชน 59.82% ให้ความไว้วางใจในความปลอดภัยจากการศัลยกรรมความงามนั่นหมายความว่า ปัจจุบันวัยรุ่นมีทัศนคติที่ดีต่อการศัลยกรรมเสริมความงามมากขึ้นทั้งในด้านของการให้การยอมรับต่อตัวผู้ทำศัลยกรรมความงาม และความเชื่อถือในตัวศัลยแพทย์อีกอีกด้วย
จมูก" เป็นอวัยวะที่นิยมศัลยกรรมความงามมากที่สุด
ปัจจุบัน อวัยวะชิ้นเล็กแต่โดดเด่นที่สุดในใบหน้าอย่างจมูกกลับได้รับความนิยมในการทำศัลยกรรมมากที่สุดโดยพบว่า ในกลุ่มเยาวชนที่เคยทำศัลยกรรมเสริมความงามนั้น มีเยาวชนที่เคยทำศัลยกรรมจมูกแล้วถึง 59.25% รองลงไปคือการลบรอยแผลเป็น รักษาผิวหรือทำหน้าใส 46.82% ขณะที่อวัยวะที่เคยได้รับความนิยมและตกเป็นข่าวดังจากผลข้างเคียงของการ ศัลยกรรมในช่วงหนึ่งอย่างการเสริมหน้าอกมีเพียง 1.73% เท่านั้น  แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันแม้ทัศนคติของวัยรุ่นต่อการทำศัลยกรรมความงามจะมีแนวโน้มที่ดีและได้รับความสนใจมากขึ้น แต่การตัดสินใจทำหรือไม่ทำนั้น ก็ยังขึ้นอยู่กับค่านิยมของสังคมว่า ต้องสวย ต้องดูดี จึงจะได้รับความสนใจ ดังที่สังเกตได้จากการสำรวจเหตุผลของการตัดสินใจทำศัลยกรรม ความงาม ที่พบว่า "เยาวชนไทย 81.82% ตัดสินใจทำศัลยกรรมความเพราะต้องการให้ตนเองดูดีขึ้น" 
วัยรุ่นไทยเกือบครึ่ง "อยากทำ" แต่ยังหวั่น "ผลกระทบ"                                                                             แม้ว่าวัยรุ่นส่วนใหญ่จะให้ความสนใจในการทำศัลยกรรมความงาม โดยเชื่อถือในมาตรฐานและความปลอดภัย แต่อย่างไรก็ดี ยังมีวัยรุ่นอีกเกือบครึ่งที่สนใจทำศัลยกรรมความงามแต่ยังกังวลต่อผลกระทบ และผลข้างเคียงที่ตามมา โดยมีวัยรุ่นถึง 41.42%?ที่ยังไม่สนใจทำศัลยกรรมความงามเพราะกลัวอันตราย ขณะที่ มีเพียงส่วนน้อยที่ให้เหตุผลของการไม่ทำศัลยกรรมความงามว่ากลัวไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม  นั่นแสดงให้เห็นว่า ความไม่มั่นใจในความปลอดภัยรวมถึงการที่สังคมไม่ยอมรับดังกล่าว อาจเป็นผลมาจากข่าวผลข้างเคียงและผลกระทบจากการทำศัลยกรรมความงามที่ถูกนำ เสนอออกมาเป็นระยะ เช่น ข่าวการเสพติดศัลยกรรม ข่าวการฉีดสารบางอย่างเข้าร่างกายโดยไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ข่าวผลกระทบต่างๆ จากการศัลยกรรมผิดกฎหมาย หรือไม่ได้มาตรฐานและความปลอดภัย รวมถึงการไม่มีกฎหมายบังคับเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมกระทั่งก่อให้เกิดคดีความ หลากหลายตามมา รวมถึงกระแสการวิพากษ์วิจารณ์ผู้ที่ทำศัลยกรรมความงามว่าทำแล้วดีหรือไม่ดี
"ผู้เชี่ยวชาญ" มีความเห็นว่าอย่างไร
จากผลการสำรวจของเด็กดีโพลต์ ชี้ ให้เห็นว่า เยาวชนไทยส่วนใหญ่มีค่านิยมว่าการทำศัลยกรรมเสริมความงามทำให้ดูดี ช่วยเสริมความมั่นใจ และอาจมีผลต่อหน้าที่การงาน โดยมักมีต้นแบบจากศิลปินดาราที่ชื่นชอบ ซึ่งส่วนมากเชื่อถือในศัลยแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีชื่อเสียง จากการหาข้อมูลด้วยตนเองและผ่านการแนะนำจากผู้อื่น ทั้งนี้ บางคนยังได้รับความเห็นชอบและความยินยอมจากผู้ปกครองอีกด้วย               ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมตกแต่งให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ นายแพทย์ กรีชาติ พรสินศิริรักษ์ ผู้อำนวยการแผนกศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลยันฮี กล่าวถึงผลการสำรวจจาก เด็กดีโพลว่า แนวโน้มอายุของเยาวชนที่เริ่มทำศัลยกรรมเสริมความงามลดลง แต่ไม่ใช่อายุน้อยๆ จะมาทำกันมาก เพียงแต่มีปริมาณที่มากกว่าเดิมเพราะพ่อแม่ยอมรับมากขึ้น ปัจจุบัน นี้วัยรุ่นเป็นวัยที่สนใจเรื่องบุคลิกภาพ หน้าตา โดยเพศชายก็เริ่มทำศัลยกรรมมากขึ้น เช่น การทำตา ทำจมูก เหตุผลที่ตัดสินใจทำศัลยกรรมก็เพราะอยากสวย บางคน อายุ 13-14 แม่ก็พามาทำ เพราะอยากให้ลูกเข้าวงการ หรือเด็กเขาต้องไปทำงานต้องใช้หน้าตา โดยส่วนใหญ่ก็จะมีต้นแบบ เอารูปดารายอดนิยมมาวาง ซึ่งทำได้ไม่ได้แค่ไหนก็ดูรูปจมูกเขา   ด้านมาตรฐานนั้น อันดับแรกต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและความสะอาด ขึ้นอยู่ที่ว่าทำที่ไหน คลีนิคบางที่อาจไม่เหมือนโรงพยาบาลในเรื่องอุปกรณ์ ความเอาใจใส่ ถ้าเป็นระดับประหยัดทำผ่าตัดใหญ่ๆ ก็อันตราย  ใจจริงไม่อยากให้วัยรุ่นทำอะไร อยากให้สนใจเรื่องเรียนหนังสือ ถ้า เรียนจบแล้วต้องทำงาน อยากมีบุคลิกดี ถ้าไม่เดือดร้อนค่อยทำก็ได้ วัยรุ่นก็แค่รักษาสิวก็พอแล้ว อยากให้สนใจเรื่องการเรียน เรื่องครอบครัวบ้าง ความงามก็เป็นส่วนหนึ่ง ที่สำคัญอย่าไปฉีดอะไรเข้าไป อย่าคิดว่าเอาง่ายไว้ก่อน บางทีฉีดเข้า อยากจะแก้ทีหลัง มันเป็นความเสียหายถาวร มันแก้ไม่ได้                                                                                                            วัยรุ่นเชื่อ "หมอเก่ง" และศัลยกรรมความงามทำให้ "ดูดีขึ้น"                                                                    จาก การสอบถามความคิดเห็นของวัยรุ่นที่ทำศัลยกรรมความงามแล้วพบว่า ก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมความงามได้มีการค้นคว้าข้อมูลและสอบถามผู้รู้จนแน่ใจ โดยยอมรับว่าตัดสินใจทำเพราะเชื่อว่าจะช่วยเสริมบุคลิก ทำให้ตนเองดูดีขึ้น ทั้งนี้ได้มีการปรึกษาผู้ปกครองก่อน ส่วนผลที่ออกมาหลังจากทำศัลยกรรมความงามแล้ว โดยรวมมีความพอใจ แต่หากจะให้แนะนำผู้อื่นต่อ คงให้เพียงข้อมูลประกอบการตัดสินใจ แต่จะไม่ชี้นำ ด้านวัยรุ่นที่ไม่ได้ทำศัลยกรรมและไม่คิดจะทำให้ความเห็นว่ากลัวเจ็บ และกังวลว่าผลออกมาไม่ดีอย่างที่คิด แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่า สมัยนี้แพทย์มีความชำนาญและน่าเชื่อถือมากขึ้น                                                          มี "ตัวอย่าง" จึงอยากทำ หรือไม่อยากทำตาม "ตัวอย่าง"                                                                          อย่าง ไรก็ดี ความคิดเห็นของเยาวชนไทยที่เข้ามาทำการสำรวจโพลต์ครั้งนี้ มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ซึ่งผู้ที่เห็นด้วยยอมรับว่า การทำศัลยกรรมเสริมความงามแทบจะถือว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมปัจจุบัน อีกทั้งให้ความสำคัญกับใบหน้าเป็นหลัก โดยเลือกทำศัลกรรมที่ใบหน้าก่อน รวมถึงผิวพรรณก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยกลุ่มที่เห็นด้วยให้ความเชื่อถือในความปลอดภัยจากการทำศัลยกรรมเสริมความ งาม โดยบางส่วนมีตัวอย่างมาจากการทำศัลยกรรมเสริมความงามของศิลปินดาราที่ทำแล้วดูดีขึ้น คนที่ไม่เห็นด้วยนั้น กังวลถึงอันตรายเป็นหลัก เพราะ มีตัวอย่างจากผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบจากการทำศัลยกรรมความงาม ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว อีกทั้งยังมองว่าไม่มีความจำเป็น และยังเป็นความสิ้นเปลือง เนื่องจากไม่มีความจำเป็นในการใช้รูปร่างหน้าตาในการประกอบอาชีพเหมือน ศิลปินดารา ทั้ง นี้ศิลปินดาราต่างก็มีความโดดเด่นอยู่แล้ว จึงยากที่จะเลียนแบบ อีกทั้งการทำศัลยกรรมความงามนั้น ยังต้องคำนึงถึงโครงสร้างร่างกายเป็นหลักอีกด้วยอย่าง ไรก็ดี จากผลสำรวจดังกล่าวประกอบกับความคิดเห็นจากผู้เกี่ยวข้องยืนยันได้ว่า แม้ทัศนคติของเยาวชนไทยต่อการทำศัลยกรรมจะเปลี่ยนแปลงไปและมีแนวโน้มว่า เริ่มทำกันมากขึ้น แต่ด้านแพทย์ก็ไม่ละทิ้งเรื่องของมาตรฐานและความปลอดภัย ส่วนผู้ที่สนใจจะทำก็มีการค้นคว้าข้อมูลประกอบเพิ่มขึ้น อีกทั้งส่วนมากยังอยู่ในความยินยอมของผู้ปกครอง ดังนั้น สิ่งที่น่ากังวลในลำดับต่อไปคงไม่ใช่เรื่องของผลกระทบจากการทำศัลยกรรมเสริมความงาม แต่เป็นค่านิยมของสังคมปัจจุบันว่า คนที่ดูดี หน้าตาดี เท่านั้นที่จะได้รับการยอมรับ ซึ่งผู้เกี่ยวข้องควรให้ความสำคัญและดูแลอย่างใกล้ชิด                                                                                                                                                     ศัลยกรรมวัยรุ่น เรื่องวุ่นๆ ของโจ๋อยากเป็น 'ดารา'                                                                                          เพ่งหน้าตาหรือทรวดทรงของคนบันเทิง หลายๆ คนให้ถ้วนถี่ แน่นอนว่าทุกคนสวยหล่อมองได้ไม่เบื่อกันทั้งนั้น แต่ภายใต้ความอวบอึ๋มและสวยหล่อของพวกเขา เกิดขึ้นได้เพราะ 'มีดหมอ' หรือการศัลยกรรมไม่ต้องแปลกใจ...หากจมูกของดาราคนนั้นคนนี้จะโด่งงอนสวยได้รูปกว่า จมูกของหลายๆ คน อย่าอิจฉาตาสองชั้น หรืออย่ามองหน้าอกหน้าใจของดาราทรงโตเขาเหล่านี้ล้วนพึ่งมีดหมอเพื่อโอกาสที่ดีกว่าในวงการบันเทิง ที่รูปลักษณ์ภายนอกเป็นใบเบิกทางชั้นดี ดึงดูดให้งานไหลมาเทมา                                                  อีกด้านหนึ่ง หนุ่มสาวยุคใหม่จำนวนไม่น้อยที่อยากก้าวไปเป็นดาวเจิดจรัสบนฟากฟ้าบันเทิง ก็กำลังหายใจเข้าออกเป็นการศัลยกรรมเช่นกัน เพียงแต่ว่าวัยรุ่นแทบไม่รู้เลยว่าการลงทุนเสริมหล่อเติมสวยของพวกเขา จะนำพาให้ได้เป็น 'ดาว' ดังหวัง หรือจะส่งผลให้ชีวิตดับวูบเพราะพิษศัลยกรรมหรือไม่                               1-2 ปีก่อน ศัลยกรรมยังไม่ฟีเว่อร์ เด็กจะไม่ทำกันมากเท่าที่ควร เพราะจะโดนแอนตี้จากคนรอบข้าง แต่ตอนนี้สังคมยอมรับคนที่ทำศัลยกรรมมากขึ้น เด็กเลยแห่ไปทำอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง  พอบรรดาขาโจ๋รู้ว่าหมอศัลยกรรมคนใดหรือคลินิกแห่งไหนขึ้นชื่อในการเสริมแต่งอวัยวะส่วนไหน พวกเขาจะตามๆ กันไปทำ                                                                                                                                                                หากรู้ว่าดาราคนนี้ทำจมูกสวย พอรู้ว่าใช้บริการจากที่ไหน ก็จะไปทำกันเยอะเป็นพิเศษ                                       หน้าตาดีเพราะศัลยกรรมจะทำให้ได้รับโอกาสในวงการบันเทิงมากกว่าคนที่ ปล่อยให้หน้าตาเป็นไปตามธรรมชาติหรือไม่ มีชายหนุ่มได้แสดงข้อคิดเห็นว่า มีส่วนถูก แต่ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์  น้องในสังกัดฯ คนหนึ่ง ก่อนศัลยกรรม งานที่ได้ไม่ค่อยเวิร์คเลยนะ ได้เล่นเป็นแค่ตัวประกอบ ค่าตัวครั้งละ 2,000-3,000 บาท พอศัลยกรรมเท่านั้นแหละ งานเข้าเลยครับ มีโฆษณาเข้ามาเกือบ 30 ตัวเลย แต่เขาไม่ฟันธงว่า ทุกคนที่ศัลยกรรมจะ 'รุ่ง' ในวงการบันเทิง โดยมอง ว่าขึ้นกับโหงวเฮ้งด้วย บางคนรูปหน้าดีอยู่แล้ว แค่ศัลยกรรมนิดๆ หน่อยๆ เพื่อแก้รูปหน้า หรือเอาไฝออก โหงวเฮ้งก็ดีขึ้น มีงานเป็นกอบเป็นกำก็มีตัวอย่างให้เห็น   ศัลยกรรมเหมือนเป็นการเสี่ยงดวง บางคนทำกับหมอคนนี้ออกมาดูดี แต่อีกคนไปทำออกมาไม่สวยก็มี แล้วแต่ดวง บางคนอยากเข้าวงการบันเทิง ลงทุนไปศัลยกรรมแต่ความสามารถด้านการแสดงไม่มี ก็ไม่มีสิทธิ์โลดแล่นในวงการมายา บางคนไปทำมานิดๆ หน่อยๆ ถ่ายรูปออกมาสวยหล่อกว่าพวกไปทำมาเยอะๆ ก็มี  นายแพทย์กรีชาติ พรสินศิริรักษ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยกรรมตกแต่ง โรงพยาบาลยันฮี ยืนยันว่า ศัลยกรรมบูมเพราะปัจจัยหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นสื่อสารมวลชน ผู้ปกครองที่อยากให้ลูกหลานสวยดูดี จึงให้ทำศัลยกรรม ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้ชายก็มีบ้าง ส่วนใหญ่เสริมจมูก รวมทั้งสังคมให้ค่าการศัลยกรรมว่าเป็นเรื่องเล็ก ศัลยกรรมจึงแรงแบบฉุดไม่อยู่ในเมืองไทย    ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาฯ และเมษาฯ เด็กจะมาศัลยกรรมเยอะเป็นพิเศษ พอลูกสอบเข้ามหา'ลัยได้ แม่พามาศัลยกรรมให้เป็นรางวัลก็มีนะ เด็กสุดนี่อายุ 13 มาทำตาสองชั้นครับ ผู้ปกครองพามาเลย ซึ่งการทำตาก็สามารถทำได้โดยที่ไม่ค่อยมีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าจริงๆ แล้วอยากทำให้รึเปล่า หมอไม่อยากทำนะ แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของผู้ปกครอง เราก็ห้ามไม่ได้ครับ นายแพทย์กรีชาติบอกไม่ต่างจากสาธิตในเรื่องที่ว่า จมูกและตาคืออวัยวะยอดฮิตที่วัยรุ่นเลือกทำศัลยกรรมให้ดูดีขึ้น พร้อมแนะว่าการทำจมูกอายุควรจะเกิน 15-16 ปี เพราะใบหน้าจะโตเต็มที่ จมูกจะไม่ยาวกว่านั้นแล้วผล เสียของการทำศัลยกรรมในวัยที่ร่างกายยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่ มี 2 ประการ คือ กระดูกบริเวณใบหน้าจะเติบโตช้าลงหรือเติบโตช้ากว่าปกติ เนื่องจากการทำศัลยกรรมจะไปรบกวนอวัยวะส่วนนั้นๆ และอวัยวะที่ทำศัลยกรรมไปแล้วอาจจะออกมาไม่ดีไม่สวย เนื่องจากอวัยวะยังไม่โตเต็มที่ ขนาดยังไม่เหมาะสมทำ จมูกตอนอายุ 13 ซึ่งจมูกยังไม่โตเต็มที่ จะทำให้จมูกสั้นกว่าปกติได้ โดยเราไปขูด ไปทำช่อง และรบกวนเยื่อหุ้มกระดูก หรืออีกกรณีคือเมื่อโตขึ้นหรือจมูกยาวขึ้น ตัวซิลิโคนที่ใส่เข้าไปมันจะสั้นกว่า จมูกก็จะดูไม่สวย แต่สำหรับตาไม่ค่อยมีปัญหา การทำตาสองชั้น ไม่ค่อยมีข้อจำกัดทางอายุครับ   นอกจากนั้น ผู้เชี่ยวชาญศัลยกรรมยังกล่าวเพิ่มเติมถึงการศัลยกรรมในอวัยวะส่วนอื่นด้วย เช่น หน้าอกควรรอให้อายุครบ 16 ปีบริบูรณ์ก่อนจึงทำ หรือการเสริมคางควรรอให้อายุถึง 18 ปี ส่วนใครอยากตัดกรามต้อง 'ร้องเพลงรอ' ไปให้อายุถึง 22 ปีโน่นเลยทั้งนี้ทั้งนั้น การทำศัลยกรรมที่ถูกต้องปลอดภัย ไม่เป็นอันตรายในระยะยาว ควรทำกับโรงพยาบาลที่เชี่ยวชาญ และที่สำคัญไม่ควรใช้วิธีฉีดซิลิโคนเหลวเดี๋ยวนี้ซิลิโคนเหลวมีเยอะแยะไปหมด ราคาถูกด้วย ส่วนมากจะบอกว่าเป็นคอลลาเจน เป็นไขมันเทียมบ้าง หลอกกันทั้งนั้น พวกนี้ฉีดเข้าไปแล้วเซลล์ร่างกายส่วนนั้นจะเสียและไม่สามารถแก้ไขได้ อย่าเอาง่าย เอาประหยัด หรือผู้ปกครองไม่อนุญาตแล้วแอบไปทำเอง ซึ่งหมอศัลยกรรมส่วนมากจะไม่เห็นด้วยเนื่องจากมันแก้ไขยากมากครับ                                 หนุ่มสาวอายุ 18 กับการศัลยกรรม                                                                                                               หนุ่มสาววัย 18 ปี นอกจากมีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งตามกฎหมายแล้ว รู้ไว้ด้วยว่ายังสามารถทำศัลยกรรมโดยไม่ต้องขออนุญาตผู้ปกครองอีกด้วย ตามคำกล่าวของ นายแพทย์สุกิจ ทัศนสุนทรวงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา ที่ว่าการ ทำศัลยกรรม หากผู้ทำอายุเกินกว่า 18 ปีขึ้นไปสามารถตัดสินใจทำได้ด้วยตนเอง แต่ถ้าอายุต่ำกว่า 18 ปี จะต้องได้รับการยินยอมจากผู้ปกครอง อย่างไรก็ตาม ต่อข้อห่วงใยด้านการแพทย์ที่มองว่า ร่างกายของเด็กยังเติบโตไม่สมบูรณ์ เมื่ออายุมากขึ้นการทำศัลยกรรมตั้งแต่ยังเด็กอาจส่งผลทางลบต่อร่างกายได้ เราอยากรู้ว่า ข้อกังวลในกรณีนี้ ทางแพทยสภามีระเบียบหรือจรรยาบรรณทางวิชาชีพเพื่อควบคุมแพทย์ให้คำนึงถึง ความเหมาะสมในการทำศัลยกรรมในผู้ที่มีอายุน้อยหรือไม่? นายแพทย์สุกิจ ชี้แจงให้คลายความสงสัยว่า มีเพียงการห้ามตัดลูกอัณฑะตามที่เป็นข่าวไปเท่านั้น                                                                           การทำศัลยกรรมบนใบหน้าคงไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับพวกฮอร์โมน ทางการแพทย์คิดว่าอยู่ที่ความสมัครใจ แต่อะไรที่เกี่ยวกับฮอร์โมน เช่น เต้านม หรือการแปลงเพศ อันนี้ก้ำกึ่งว่าน่าจะไม่สมควรทำ นายแพทย์สุกิจ ทิ้งท้ายว่า กรณีการทำศัลยกรรมในเด็ก แพทยสภายังไม่ทราบข้อมูลว่ามีมากน้อยเพียงใด แต่ถ้าสังคมหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความเป็นห่วง ก็สามารถส่งเรื่องมายังแพทยสภาได้ เพื่อทำการศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องต่อไปว่ามีความเหมาะสมหรือไม่                                                                                                       เมื่อเร็วๆ นี้ เว็บไซต์เด็กดีดอทคอมทำโพลในหัวข้อ 'วัยรุ่นกับค่านิยมการทำศัลยกรรมเสริมความงาม' มีวัยรุ่นวัยเฮี้ยวจำนวน 5,074 คน อายุระหว่าง 10-25 ปี เข้าไปตอบโพล  ปรากฏว่า เยาวชนจำนวน 57.77 เปอร์เซ็นต์ สนใจทำศัลยกรรม โดยช่วงอายุตั้งแต่ 18-22 ปี เป็นกลุ่มที่สนใจมากที่สุดถึง 68.88 เปอร์เซ็นต์ เรื่องความปลอดภัยของศัลยกรรม 59.82 เปอร์เซ็นต์ เชื่อมั่นว่าการทำสวยหล่อด้วยมีดหมอนั้นปลอดภัยหายห่วง                                                                                                                                                                อวัยวะที่วัยรุ่นศัลยกรรมกันมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ เสริม จมูก 59.25 เปอร์เซ็นต์ รักษาสิว ทำหน้าใส 46.82 เปอร์เซ็นต์ กรีดตาสองชั้น 10.12 เปอร์เซ็นต์ ฉีด-ผ่าตัดปาก 2.89 เปอร์เซ็นต์ เสริมคาง 2.31 เปอร์เซ็นต์ ตัดกรามทำหน้าเรียว 2.31 เปอร์เซ็นต์ และเสริมหน้าอก 1.73 เปอร์เซ็นต์                                                    ปัญหาเรื่อง"การเสพติดศัลยกรรม"  คืออาการของผู้ที่รู้สึกไม่พอใจกับรูปร่างหน้าตาของตัวเองสักที และต้องการการศัลยกรรมเพื่อปรับเปลี่ยนแก้ไขให้ได้อย่างใจอยู่ไม่รู้จบ สาเหตุของอาการนี้โดยส่วนใหญ่มาจากอาการ บีบีดี  หรือ "บอดี้ ดิสมอร์ฟิก ดิสออร์เดอร์"(Body dysmorphic disorder, BBD) หรืออาการที่ผู้ป่วยมีความหมกมุ่นเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองมากเกินไป และเกิดความไม่พึงพอใจในตนเอง นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหา (ที่ตัวเองคิดว่ามี) ด้วยการศัลยกรรม ซึ่งในจำนวนผู้ที่เข้ารับการศัลยกรรม มีจำนวนไม่น้อยที่มีอาการบีบีดี ฉะนั้นก่อนการศัลยกรรม ศัลยแพทย์ที่ดีจะต้องพูดคุยซักถามเพื่อตรวจสอบสภาพจิตใจและโอกาสที่ผู้เข้ารับการศัลยกรรมจะมีอาการบีบีดีด้วย มีความเสี่ยงสูงว่าผู้ป่วยที่มีอาการบีบีดีจะทำศัลยกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ในอนาคต  นอกจากความผิดปกติด้วยอาการบีบีดี สาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้ผู้ป่วยเข้ารับการศัลยกรรมครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสพติดการศัลยกรรม ยังเนื่องมาจากการใช้การศัลยกรรมเพื่อแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด โดยปัญหาเหล่านั้น ได้แก่
1. เข้าใจว่าการศัลยกรรมจะปรับหรือแก้ไขความไม่พึงพอใจในร่างกายตนเองได้ยั่งยืน

  ความจริงแล้วคือ ไม่ว่าการศัลยกรรมชนิดใด ๆ ล้วนมีอายุของมัน และย่อมเปลี่ยนแปลงสภาพไปทีละน้อยตามวัยที่ล่วงไป ผลหลังการศัลยกรรมสามารถให้ความพึงพอใจได้ในระยะหนึ่ง แต่ไม่สามารถคงอยู่เช่นนั้นได้ตลอด และสิ่งนี้เองที่นำมาซึ่งการเข้ารับการศัลยกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อรักษาสภาพนั้นเอาไว้ตลอดไป                                                                                                                                                            2. เข้าใจว่าการศัลยกรรมสามารถเยียวยาปัญหาในชีวิตได้
 หลายครั้งที่การศัลยกรรมถูกดึงไปเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเรื่องของความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิต บางคนทำศัลยกรรมเพื่อให้หางานทำง่ายขึ้น อยากเป็นที่ยอมรับจากคนอื่น ๆ บ้างทำเพื่อรักษาเยียวยาจิตใจหลังจากตกงานหรือว่าอกหัก และคิดว่ารูปร่างหน้าตาของตัวเองเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ถูกละทิ้ง ซึ่งความเป็นจริงจุดประสงค์ของการศัลยกรรมนั้นคือการแก้ไขรูปลักษณ์ที่ปรากฏแต่ภายนอก ไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นกับชีวิตได้อย่างลึกซึ้งหรือจริงจัง                                                                                              
3. ทำเพราะมันดูดีเมื่ออยู่ในทีวี     หลาย ๆ คนเลือกจะทำศัลยกรรมตามดารานักร้องที่เห็นในทีวี เพราะเห็นว่าพวกเธอเหล่านั้นทำออกมาแล้วสวยและดูดี แม้ที่จริงแล้วมันอาจไม่ได้เข้ากับพื้นฐานโครงสร้างใบหน้าหรือว่าร่างกายของตนเลย นำมาซึ่งการศัลยกรรมซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าจะเหมือนอย่างไอดอลต้องการ 
อย่างไรก็ดี ในการศัลยกรรมบางประเภทก็ต้องการให้ผู้ป่วยกลับไปผ่านกระบวนการทางศัลยกรรมอีก แต่จะเป็นกระบวนการที่ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือแค่การผ่าตัดขนาดเล็ก เพื่อรักษาผลที่ได้ให้อยู่ในสภาพที่น่าพึงพอใจต่อไป โดยแพทย์จะเป็นผู้แนะนำกับผู้ป่วยเองโดยตรง และในกรณีเช่นนี้ไม่ถือเป็นการเสพติดศัลยกรรม ไม่ว่าจะอย่างไร การศัลยกรรมก็คือการปรับปรุงรูปลักษณ์ทางกายภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏแก่สายตา แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่ามันนำมาซึ่งผลพลอยได้ในแง่บวกหลาย ๆ ประการ ทั้งเข้าสังคมได้ง่ายขึ้น ผู้คนให้ความสนใจ เป็นที่ยอมรับ จึงทำให้รู้สึกอยากศัลยกรรมให้ดียิ่งขึ้นไปอีก แต่ทุกอย่างล้วนต้องมีความพอดี และจุดประสงค์แต่เดิมของการศัลยกรรมก็ลิมิตอยู่ที่เพียงเรื่องรูปกายภายนอกเท่านั้น ไม่อาจใช้เพื่อรักษาสถานะซึ่งเป็นที่ยอมรับจากคนทั่วไปไว้ได้ตราบเนิ่นนาน อีกทั้งการศัลยกรรมบางประเภทก็มีผลข้างเคียง หรือบ้างก็อาจไม่ได้ผลตรงตามที่ต้องการ ก่อนการตัดสินใจทำศัลยกรรมใด ๆ นอกจากต้องสำรวจค้นคว้าข้อมูลให้ได้มากและละเอียดชัดเจนที่สุดแล้ว ก็ต้องสำรวจถึงความพร้อม ความเข้มแข็งของจิตใจ และความเข้าใจถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของการศัลยกรรมด้วย แต่การเนรมิตความงามด้วยการทำศัลยกรรมนั้น อาจจะไม่ได้ดั่งใจในทุกคนและทุกคราวไป บ่อยครั้งที่เราเห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่ออื่นๆ พบว่าหลายรายการทำศัลยกรรมไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นแต่ในทางกลับกันกลับส่งผลเสียต่างๆมากมาย  อาจจะถึงขั้นทำให้เสียโฉมไปเลยก็ ในขณะที่ศัลยแพทย์เองก็ไม่สามารถรับรองได้100% ในแง่ของความปลอดภัยและผลกระทบที่อาจจะได้รับหลังการทำศัลยกรรมเสริมความงาม ดังนั้นการจะตัดสินใจทำศัลยกรรมจึงจำเป็นต้องพิจารณาอย่างถ้วนถี่ ก่อนจะมีการตัดสินใจอะไรลงไป ไม่ว่าจะเป็นเพศใดวัยใด      ยิ่งในหมู่วัยรุ่นที่ต้องการทำศัลยกรรมเพื่อเสริมความงามด้วยแล้วกลับต้องคิดให้หนักกว่าคนในวัยอื่นๆ เพราะตามธรรมชาติของคนในวัยนี้เป็นวัยที่สดใสและสวยงามอยู่แล้ว บางครั้งแม้แต่เครื่องสำอางหากใช้ไม่ถูกไม่ควรก็อาจจะทำให้วัยสดใสกลายเป็นหมองลงไปด้วยซ้ำ มากกว่าที่จะสร้างความสวยงามให้แก่เจ้าของ แต่การใช้เครื่องสำอาง การแต่งหน้าแต่งตา เมื่อสร้างความไม่พอใจก็สามารถลบออกและแต่งใหม่ได้ แต่สำหรับศัลยกรรมแล้วหากตัดสินใจทำลงไปการแก้กลับมาให้คงเดิมนั้นนับเป็นเรื่องที่ยาก และแทบจะเป็นไปไม่ได้ในกรณีที่ทำให้ดีดั่งเดิม
ปัญหาที่มีตามมาอีกประการคือการใช้วัสดุที่แปลกปลอมต่อร่างกายนั้นแน่นอนว่ามันให้ความแข็งแรงมากกว่าเนื้อหนังจริงๆ แต่ในระยะยาวแล้วความคงทนของมันก็อาจจะสร้างปัญหาได้ เพราะวัสดุหลายชนิดที่เอามาสร้างมาเสริมเป็นอวัยวะเทียมนั้น มีการย่อยสลายที่ยากกว่าเนื้อหนังของมนุษย์ เมื่อวัยล่วงเลยร่างกายอาจจะเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นตามวันเวลา แต่อวัยวะส่วนที่ผ่านการศัลยกรรมอาจจะดูผิดรูปผิดวัยจนสร้างความขัดหูขัดตาอยู่ได้บ้างเหมือนกัน                                                                                                            การทำศัลยกรรมอาจจะต้องทำให้ผู้ทำศัลยกรรมต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากขึ้น หากไม่อยากจะประสบกับปัญหา ความไม่ระมัดระวังพออาจจะทำให้อวัยวะส่วนที่ผ่านการศัลยกรรมบิดเบี้ยวผิดรูปไปจากเดิมได้ เช่น ปากเบี้ยว จมูกยุบ หรือในบางครั้งจมูกที่เสริมจนโด่งเกินไป อาจทำให้ซิลิโคนดันปลายจมูกจนอาจจะเกิดเป็นบาดแผลและติดเชื้อลุกลามได้
ดังนั้นการตัดสินใจจะทำศัลยกรรมจึงต้องอาศัยความละเอียดรอบคอบพอสมควร มีการศึกษาข้อมูลที่ดีแต้องชั่งใจระหว่างความคาดหวังกับผลที่อาจจะตามมา ไม่ผิดที่คนเราจะสร้างความมั่นใจให้ตัวเองโดยการทำศัลยกรรมเสริมความงาม แต่ผลที่ได้รับอาจจะไม่ตรงใจนั้นหมายถึงการสูญเสียทั้งเวลาเงินทองและบางครั้งอาจจะต้องอาศัยการเยียวยาเป็นแรมปี การทำนั้นง่ายแต่การแก้ไขให้กลับมาเป็นอย่างเดิมนั้นยากกว่ามากมายหลายเท่านัก

1 ความคิดเห็น: