บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง วิกฤติภาษาไทย
ความหมายของภาษา
คำว่าภาษาอาจแบ่งความหมายได้
2 ประเภท คือ ภาษาในความหมายกว้างซึ่ง หมายถึงภาษาที่ใช้คำพูด
(วัจนภาษา) และภาษาที่ไม่ได้ใช้คำพูดหรือภาษาท่าทาง
(อวัจนภาษา) ทั้งนี้ภาษาในความหมายนี้อาจนับรวมไปถึงภาษาของสัตว์ด้วย
ภาษาในความหมายแคบหมายถึงภาษาที่ใช้พูดจะเป็นคำพูดหรือลายลักษณ์อักษรซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ใช้แทนคำพูดก็ได้
ดังนั้นความหมายของภาษาที่เขียนเพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวันถ้อยคำที่มนุษย์ใช้สื่อสารเข้าใจกัน
อย่างไรก็ตามเมื่อมนุษย์พัฒนาขึ้นก็มีวิธีถ่ายทอดเสียงออกเป็นสิ่งอื่นในการสื่อสารสิ่งที่ใช้แทนเสียงในการสื่อสารก็คือ
ตัวอักษร ภาษาไทยมีเอกลักษณ์ของตัวเองโดดเด่นมายาวนาน
แต่ทุกวันนี้ดูเหมือนว่าภาษาไทยกำลังถูกลืมจากคนรุ่นใหม่ดัชนีชี้วัดประการหนึ่งคือผลสัมฤทธิ์ด้านการใช้ภาษาของเยาวชนไทยและนักศึกษาในมหาวิทยาลัยล้วนตกต่ำลงมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นการตกต่ำอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนั้นแล้วการใช้ภาษาไทยที่ผิดๆก็มีให้เห็นอยู่อย่างมากมายทั้งในสื่อมวลชน
ในเพลง ละคร โทรทัศน์และในภาพยนตร์ รวมทั้งในวิถีชีวิตประจำวันของคนไทยเราเองที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการเขียน
การพูด การสื่อสารที่ถูกต้อง
รวมทั้งไม่มีค่านิยมในการศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้องด้วย ภาษาเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้สื่อสารติดต่อและทำความเข้าใจในหมู่ชนที่ใช้ภาษาเดียวกัน
ภาษาทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาชีวิต ความเป็นอยู่ ความสามารถ และด้านอื่นๆ
ภาษาจึงเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนที่เจริญก้าวหน้าหรือกลุ่มชนที่ล้าหลังต่างก็มีภาษาที่ใช้สื่อสารกันและทุกภาษาจะมีความสมบรูณ์ที่จะใช้สื่อสารกันในกลุ่มเมื่อมนุษย์ได้มีการติดต่อกับคนต่างกลุ่ม
ติดต่อกับคนที่ใช้ภาษาต่างจากตน การหยิบยืมของภาษาก็อาจเกิดขึ้นการยืมมากน้อยขึ้นอยู่กับความจำเป็นมนุษย์เราใช้ภาษาควบคู่กับการดำรงชีวิตภาษาจึงอาจรับผลจากความเจริญหรือความเสื่อมของมนุษย์และอาจมีผลต่อความเจริญหรือความเสื่อมของสังคมมนุษย์ด้วยเช่นกัน
ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติเป็นสมบัติส่วนรวมที่คนไทยทุกคนพึงรักษาด้วยการใช้ภาษาที่ถูกต้องทั้งด้านการเขียนและการอ่านเพื่อสืบทอดมรดกทางวัฒนธรรมของชาติไว้ปัจจุบันนี้จากการสังเกตพบว่ามีการใช้ภาษาไทยที่ผิดๆมากมายอาจเนื่องมากจากการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและการเข้ามามีบทบาทของสื่อไอทียุคใหม่ก็เป็นส่วนหนึ่งของเหตุปัญหาที่ว่าด้วยการเขียนอ่านของวัยรุ่นไทยในยุคนี้
สภาพสังคมไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากนอกจากจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันในด้านต่างๆแล้วยังส่งผลต่อการสื่อสารที่ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือด้วยซึ่งตัวแปรสำคัญก็คือเครื่องมือสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ
เช่นอินเตอร์เน็ต โทรศัพท์มือถือ
ดังนั้นภาษาที่ใช้ในการติดต่อผ่านเครื่องสื่อสารไอทีเหล่านี้จึงต้องการให้มันเป็นไปอย่างรวดเร็ว
มีความกระฉับ
และสื่อสารเฉพาะกลุ่มฉะนั้นจึงส่งผลโดยตรงกับเด็กและเยาวชนอย่างเลี่ยงไม่ได้เพราะเด็กวัยรุ่นในยุคนี้นำเอาภาษาพูดมาปะปนกับภาษาทางการอย่างไรก็ดี
เป็นที่น่าเสียดายว่า ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา
นอกจากจะทำให้วิถีชีวิต ของประชาชนคนไทย เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายแล้ว
อิทธิพลของกระแสวัฒนธรรมต่างชาติ ที่หลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทยอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเทคนิคการสื่อสารสมัยใหม่
ยังมีส่วนทำให้ “ภาษาไทย” ที่ใช้ในปัจจุบัน ทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน อยู่ในสภาวะเสื่อมโทรมลงอย่างน่าเป็นห่วง
เนื่องจากคนไทยเอง ได้ละเลยต่อความสำคัญ ในการใช้ภาษาไทย
และมีการใช้ภาษาที่ผิดเพี้ยน ในการสื่อสารมากขึ้นทุกที จนเป็นที่น่าวิตกว่า
หากไม่รีบช่วยกันแก้ไข นานไปเอกลักษณ์ และคุณค่าของภาษาไทย อาจสูญหายไปจนหมดสิ้น
ในปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้นรวมถึงการสื่อสารที่ทันสมัยทำให้เกิดค่านิยมใหม่ๆขึ้นซึ่งเยาวชนไทยในปัจจุบันหรือวัยรุ่นไทยได้รับค่านิยมที่ผิดๆมาใช้นั้นคือการใช้ภาษาแบบผิดๆโดยไม่คิดว่าจะเกิดปัญหาต่างๆตามมาส่วนใหญ่วัยรุ่นจะคิดว่าเป็นเรื่องที่เก๋
เท่ห์ หากไม่ได้ใช้ภาษานี้จะถูกมองว่าตกกระแส
แต่หารู้ไม่ว่าการใช้ภาษาเหล่านี้ทำให้ภาษาไทยของเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงและทำให้เยาวชนรุ่นหลังใช้ภาษาที่ผิดๆตามไปด้วย
ประเทศไทยเรานั้นมีภาษาชาติมีภาษาเป็นของตนแสดงถึงความเป็นเอกราชและความภาคภูมิใจแต่เยาวชนบางส่วนกับไม่รู้คุณค่าของมัน
การใช้ภาษาไทยที่ผิดของวัยรุ่นเป็นสิ่งที่ทำให้ภาษาไทยวิบัติลงไปจริงๆในประเทศไทยมีการวิพากษ์
วิจารณ์ถึงปัญหาเด็กไทยขาดการศึกษารวมถึงปัญหาภาษาวิบัติทำให้เด็กไทยไม่สามารถใช้ภาษาไทยได้มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรในขณะเดียวกันได้มีการใช้คำว่าภาษาอุบัติแทนที่ภาษาวิบัติที่มีความหมายในเชิงลบโดยภาษาอุบัติหมายถึงภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ตอบสนองวัฒนธรรมย่อยเช่นเดียวกับภาษาเฉพาะวงการที่เป็นศัพท์สแลงซึ่งเห็นได้จากที่วัยรุ่นสื่อสารกันผ่านทางอินเตอร์เน็ตรวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารทั้ง
iphoneipodโดยผ่านสิ่งเหล่านี้โดยผ่านการพิมพ์โดยมักใช้คำสั้นๆง่ายๆพิมพ์ได้เร็วแค่สื่อสารกันรู้เรื่องและวัยรุ่นคิดว่ามันเก๋ถ้ามั่วแต่นั่งพิมพ์ให้ถูกตามหลักภาษาคงเสียเวลาและดูว่าไม่ทันสมัยแต่ถ้าคิดอีกแง่มุมหนึ่งคือภาษาไทยหนึ่งคำสามารถเขียนได้หลายแบบเพราะภาษาไทยมีพยัญชนะที่ออกเสียงเหมือนๆกันมีสระเสียงที่คล้ายๆกันจึงทำให้เขียนออกมาได้หลายแบบ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาษาไทยสามารถดัดแปลงเปลี่ยนแปลงคำได้หลากหลายโดยคำทั้งหลายมีความหมายเหมือนกันแต่ลักษณะการเขียนผิดออกไปการเปลี่ยนแปลงของภาษาที่ผู้ใหญ่ในสังคมไม่ชอบแม้ภาษาจะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอแต่ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้ภาษาเปลี่ยนโดยมีการอ้างเหตุผลว่าภาษาไทยไม่ควรเปลี่ยนแปลงเพราะเป็นภาษาของชาติมีความศักดิ์สิทธิ์
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนี้เป็นที่น่าเสียดายว่าภาษาไทยอยู่ในสภาพที่แปรผันเสื่อมโทรมลงไม่ใช่เพราะการเวลาแต่สาเหตุสำคัญประการหนึ่งเกิดจากเยาวชนไทยได้ละเลยต่อความสำคัญในการใช้ภาษาไทย
ทั้งนี้อาจจะเกิดจากระบบการถ่ายทอดที่ยังขาดประสิทธิภาพความเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและอิทธิพลของวัฒนธรรมต่างชาติที่แพร่กระจายหลั่งไหลเข้าสู่สังคมไทยอย่างรวดเร็วอีกทั้งเยาวชนปัจจุบันในสังคมไทยยังมีพื้นฐานของภาษาไทยที่ด้อยลง
และเข้าใจหลักการใช้ภาษายังงผิวเผินขาดโอกาสที่จะเรียนรู้สุนทรีภาพ ความประณีต
ไพเราะของถ้อยคำทำนองไทยสื่อมวลชนเองทั้งที่เป็นสื่อสิ่งพิมพ์สื่อโสตทัศน์ก็มีการใช้ภาษาต่างประเทศและภาษาไทยที่ผิดเพี้ยนในการสื่อสารมากขึ้นทำให้เยาวชนมีวิธีคิดและการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้องน้อยลงจนเป็นที่น่าวิตกว่าเอกลักษณ์ทางภาษาไทยกำลังจะสูญหายไปในที่สุด
การรักษาภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ดั่งเดิมของไทยที่มีมาแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงนั้นเป็นหน้าที่สำคัญของคนไทยทุกคนโดยเฉพาะเยาวชนที่ต้องช่วยกันและหันมาจริงจังกับการใช้ภาษาที่ถูกต้องเพื่อเป็นการอนุรักษ์ภาษาไทยที่ถูกต้องไว้ให้แก่คนรุ่นหลังอย่าทำให้ภาษาประจำชาติของเราต้องเสื่อมและเสียไปเพราะเราเนื่องจากคนรุ่นก่อนนั้นพยายามสร้างและคิดมันขึ้นมาด้วยความสามารถย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะใช้ภาษาเก๋ๆแต่ทำให้ภาษาดั่งเดิมของเราวิบัติ
ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติของคนไทยมาแล้วช้านาน
ถึงแม้คนไทยจะถูกชาติอื่นรุกรานต้องถ่อยร่นลงมาทางใต้จนถึงที่อยู่ปัจจุบันแต่คนไทยก็ยังรักษาภาษาของตนไว้ได้หลักฐานแสดงว่าภาษาไทยเป็นภาษาของคนไทยโดยเฉพาะก็คือ
ภาษาไทยมีลักษณะพิเศษไม่ซ้ำแบบของภาษาใดในโลก ที่มีผู้กล่าวว่า
ภาษาไทยเป็นตระกูลเดียวกับภาษาจีน
เนื่องจากเป็นภาษาคำโดดด้วยกันและมีคำพ้องเสียงและความหมายเหมือนกันอยู่หลายคำการที่ภาษาไทยกับภาษาจีนมีลักษณะตรงกันบางประการดังกล่าว
ใช่ว่าภาษาไทยมาจากจีนหรือจีนมาจากไทย
แต่คงเป็นเพราะชาติไทยกับจีนเคยมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดมาช้านาน
และคงเคยใช้อักษรจีนเขียนภาษาไทย ภาษาไทยกับจีนจึงมีส่วนคล้ายคลึงกันได้
ข้อสังเกตที่ว่า ภาษาไทยกับจีนเป็นคนละภาษาต่างหาก จากกันก็คือ
ระเบียบการเข้าประโยคต่างกัน
สังคมเราในปัจจุบันนี้โลกเราได้มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องอย่างมากในชีวิตของคนไทยเรา
ทำให้มีความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งการสื่อสารด้วย
ซึ่งในประเทศไทยนี้เยาวชนยุคใหม่บางส่วนได้นำค่านิยมผิด ๆ มาใช้กัน
นั้นก็คือการใช้ภาษาไทยที่ผิด โดยเยาวชนกลุ่มนั้นคิดว่าเมื่อใช้แล้วมันเก๋ดี
มันเท่ห์ดี
แต่หารู้ไม่ว่าอาจจะทำให้ภาษาไทยของเราเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงและทำให้เยาวชนยุคหลังๆใช้ภาษาไทยไม่ถูกต้องตามไปด้วย
ประเทศไทยของเรามีภาษาเป็นของตนเองแสดงออกถึงความเป็นเอกราชและความภาคภูมิใจของคนไทยเรา
ภาษาไทยเป็นมรดกของคนไทยมายาวนาน แต่เยาวชนยุคบางส่วนใหม่กลับไม่รู้คุณค่าของมันเลย ภาษาเปลี่ยนแปลงในลักษณะของการออกเสียง คำศัพท์ รูปแบบ และลักษณะอื่นๆตามกาลเวลาที่เปลี่ยนไป
ภาษาที่เปลี่ยนไปเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มคนที่ใช้ภาษาไทย
สื่อและการกระจายตัวของประชากรเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงของภาษา
จะเห็นได้ว่ามีคำศัพท์จากทางภาคต่างๆ ในประเทศไทยเริ่มใช้กันข้ามภาคในประเทศไทย
เช่นคำศัพท์จากทางภาคกลางมีการเริ่มใช้กันมากทางภาคเหนือ
และภาคใต้เนื่องจากทุกคนได้ดูรายการโทรทัศน์ ที่เสนอภาษาจากทางภาคกลาง
ในขณะเดียวกันกลุ่มคนภาคกลางได้เริ่มใช้ภาษาจากทางภาคอีสานมากขึ้น เมื่อมีรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับคนที่อาศัยในภาคอีสาน
ภาษาต่างประเทศเช่นภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในทางศัพท์วิชาการและศัพท์ทางคอมพิวเตอร์
มากขึ้นเช่นกันกลุ่มเฉพาะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาของภาษา
คำศัพท์ใหม่ๆเกิดขึ้นมากโดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น มีภาษาเฉพาะของกลุ่ม
เมื่อภาษาเกิดมีการใช้กันใหม่ ทำให้มีคำศัพท์ใหม่นิยามขึ้นมา แต่อย่างไรก็ตามเมื่อหมดการใช้ของคำศัพท์นั้นๆ
ภาษานั้นก็จะตกรุ่นและหมดความนิยมไป ยกตัวอย่างเช่นคำว่า จ๊าบ
ที่เคยมีการใช้กันในหมู่วัยรุ่น
และเริ่มนิยมกันมากเมื่อสื่อนำไปใช้ในรายการโทรทัศน์
มีการถกเถียงเรื่องของภาษาวัยรุ่นที่ไม่นับว่าเป็นภาษาไทยกันมาก
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนใช้ภาษาเดียวกันและมีการสื่อสารไปในทิศทางเดียวกัน ย่อมถือได้ว่า
ภาษาที่เกิดขึ้นมาใหม่ไม่ว่าจากวัยรุ่นหรือนักวิชาการยังคงเป็นภาษาไทย
สังคมเราในปัจจุบันนี้โลกเราได้มีเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องอย่างมากในชีวิตของคนไทยเรา
ทำให้มีความสะดวกในการใช้ชีวิตประจำวันรวมทั้งการสื่อสารด้วย
ซึ่งในประเทศไทยนี้เยาวชนยุคใหม่บางส่วนได้นำค่านิยมผิด ๆ มาใช้กัน
นั้นก็คือการใช้ภาษาไทยที่ผิด โดยเยาวชนกลุ่มนั้นคิดว่าเมื่อการใช้ภาษาไทยที่ผิด ๆ
ของวัยรุ่นนั้นเป็นสิ่งที่จะทำให้ภาษาไทยวิบัติลงไปจริง ๆ
ซึ่งจะเห็นได้จากที่วัยรุ่นใช้สื่อสารกันทาง
msn Facebook หรือ Twitter เช่นคำว่า ทามอะไรอยู่-ทำอะไรอยู่ เปนอะไร-เป็นอะไร ,นู๋ (หนู) , ชะมะ,ชิมิ
(ใช่ไหม) ,ป่าว (เปล่า) , เทอ
(เธอ) , ชั้ล, ช้าน (ฉัน) , ค้ะ, คร๊, คร้ะ, ค่า (ค่ะ)คร้าบ, คับ , คัฟ,
คร๊าฟ (ครับ) เพราะคำเหล่านี้ทำให้พิมพ์ง่าย
สื่อสารกันได้เร็ว แต่ถ้าคิดอีกแง่มุมหนึ่ง การที่ภาษาไทย 1คำ
สามารถเขียนได้หลายแบบ เพราะภาษาไทยมีพยัญชนะที่ออกเสียงเหมือน ๆ กัน
มีสระที่เสียงคล้าย ๆ กัน จึงทำให้สามารถเขียนออกมาได้หลายแบบ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาษาไทยนั้นสามารถดัดแปลง เปลี่ยนแปลงคำได้หลากหลาย
โดยที่ความหมายเหมือนเดิม แต่ลักษณะการเขียนผิดออกไป เป็นเสมือนการสร้างคำ
สร้างภาษาให้มีการวิบัติมากขึ้น การใช้คำใช้ภาษาไปผิดๆ
ทำให้เป็นการฝึกนิสัยในการใช้ภาษาไทยที่ไม่ถูกต้องตามหลักภาษา
และวัยรุ่นไทยสมัยนี้เขียนคำ สะกดคำในภาษาไทย ได้ไม่ถูกตามตัวสะกด
และเขียนภาษาไทยได้ไม่ถูกต้องตามหลักภาษา พูดไม่ถูกอักขระ ไม่มีคำควบกล้ำ
บางคนพูดภาษาไทยไม่ชัดเจนด้วยซ้ำซึ่งแสดงให้เห็นว่าภาษาไทยสามารถดัดแปลง
เปลี่ยนแปลงคำได้หลากหลาย โดยที่ความหมายเหมือนเดิม
แต่ลักษณะการเขียนผิดออกไปจากเดิม
ทำให้ความเปลี่ยนแปลงทางภาษาไทยที่มีความซับซ้อนและทำให้วัยรุ่นนิยมใช้ภาษาไทยที่มีความหมายละเอียดและกว้างจากความหมายเดิมมีมากขึ้นประโยคที่ว่า
“พูดไทยไม่ค่อยชัด...แต่ภาษาอังกฤษ...ไม่ได้เลย” เป็นมุขตลกที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ แต่ประโยคดังกล่าวไม่ได้เป็นแค่มุขตลกขำ
ๆ อีกแล้ว เพราะปัจจุบันมีคนไทยจำนวนมากที่กำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ “พูดภาษาไทยก็ไม่ค่อยชัดอยู่แล้ว แต่ภาษาอังกฤษก็ไม่ดีเช่นกัน” หรืออาจกล่าวได้ว่ากำลังมีอาการของโรคสมมุติที่เรียกว่า “โรคภูมิคุ้มกันภาษาไทยบกพร่อง” นั่นเอง
โดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่น ซึ่งอาการที่พบมากที่สุดก็คือ โรค ร ล ซึ่งมักออกเสียง ร ไม่ได้
หรือออกเสียงเป็นเสียง R ในภาษาอังกฤษ หรือการออกเสียง ส
ซ โดยมักมีเสียงพ่นหน้าคำมากเกินไปจนคล้ายกับเสียง
S ของภาษาอังกฤษและโรควรรณยุกต์
ซึ่งเป็นการออกเสียงวรรณยุกต์เคลื่อนที่ไปจากระดับเสียงหนึ่ง เช่น แม่ เป็น แม้
ผีเสื้อ เป็น ผี่เสื้อ เป็นต้น
ทั้งนี้ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการพูดและเขียนภาษาไทยของวัยรุ่นก็คือ
สื่อมวลชนนั่นเองโดยเฉพาะ โทรทัศน์ วิทยุ และอินเตอร์เน็ต กล่าวคือ
เด็กวัยรุ่นมักจะเลียนแบบการออกเสียงการพูดของดารา
ศิลปินนักร้องรวมทั้งพิธีกรรายการตลอดจนดีเจที่ตนเองชื่นชอบ
เพราะคิดว่าเป็นความเท่ห์ มีเสน่ห์ โดยมักพูดไทยสำเนียงฝรั่ง
ใช้ภาษาพูดปนกับภาษาเขียน หรือพูดไทยคำ อังกฤษคำ เป็นต้น ส่วนด้านการเขียนนั้น
พบว่า เด็กไทยเขียนภาษาไทยกันไม่ค่อยถูกต้อง
โดยส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความเคยชินกับภาษาเขียนที่ใช้ในการเขียนกลอนวัยรุ่น
การส่งข้อความผ่านมือถือ และการเขียนในอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะจากการแช็ต
ที่จะเน้นเขียนคำให้สั้นที่สุด เช่น “555” แทนเสียงหัวเราะ “เดว” แทนคำว่า
“เดี๋ยว” “ไปเดก่า” แทนคำว่า “ไปดีกว่า” คำว่า “ไม่เป็นไร” ก็เขียนเป็น “ม่ายเปนราย”
งุงิคริคริ แทนความรู้สึกบางอย่าง สาด-กรู เป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีการใช้สัญลักษณ์หรือไอคอนที่แสดงอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ร้องไห้
หัวเราะ ยิ้ม แทนภาษาเขียนอีกด้วย
ซึ่งแม้จะมีบางท่านที่มองว่าการใช้ภาษาในลักษณะนี้เป็นวิวัฒนาทางการภาษาเฉพาะกลุ่มของวัยรุ่น
แต่ภาษาแช็ตไม่มีไวยากรณ์ อีกทั้งการใช้บ่อย ๆ
จะทำให้เด็กเคยชินและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนกลายเป็นเรื่องปกติแม้แต่ในการทำการบ้านหรือการทำข้อสอบก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาการเรียนการสอนและการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันที่พบว่า
ในระดับอุดมศึกษามีการพัฒนาบุคลากรด้านภาษาไทยน้อยที่สุดและปัญหาที่พบคือการพูดไม่ชัดใช้คำไม่ถูกต้อง
ส่วนการเขียนมักใช้คำผิดความหมายการอ่านนั้นส่วนใหญ่ออกเสียงไม่ถูก
และจับใจความไม่ได้เหล่านี้เป็นข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการใช้ภาษาไทยในปัจจุบันได้อย่างชัดเจน
การที่คนไทยเรา พูด อ่าน และเขียนภาษาไทยเป็นประจำทุกวัน จนเกิดความเคยชิน อาจจะทำให้หลายๆ
คนไม่รู้สึกว่า “ภาษาไทย” มีความสำคัญแค่ไหน และมีคุณค่าเพียงไร หากจะเปรียบก็คงเหมือนกับ “อากาศ” ที่เราหายใจเข้าหายใจออกอยู่ตลอดเวลา จนเราแทบไม่รู้ค่าว่า
หากขาดอากาศเมื่อไร เราก็ตายเมื่อนั้น ถึงแม้ว่า “ภาษาไทย”
จะไม่เหมือนอากาศที่ทำให้เราถึงกับตาย แต่ถ้าหากชาติไทยเราขาด “ภาษาไทย
ศาสตราจารย์จอห์น เวลส์
แห่งมหาวิทยาลัยลอนดอนกล่าวว่า
การที่ภาษาแปรเปลี่ยนไปนั้นย่อมสะท้อนให้เห็นว่าสังคมเปลี่ยนไปอย่างไร
ปัจจุบันนี้สังคมมีความลื่นเหลว คือปะปนกันได้มากขึ้นภาษาไทยเป็นทั้งวัฒนธรรม เอกลักษณ์ และความภูมิใจของคนไทย
แต่ปัจจุบันคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ใช้ภาษาไทยได้ไม่ดีพอ ไม่รู้ว่าพยัญชนะ สระ
และวรรณยุกต์ในภาษาไทยมีกี่รูป กี่เสียง
และยังมีคนไทยอีกจำนวนมากที่ยังพูดภาษาไทยผิดบ้าง เขียนผิดบ้าง หรือบ้างก็จับใจความผิดฟังผิดอ่านผิดบ้างก็พูดภาษาไทยคำภาษาอังกฤษคำจนเกิดปัญหาการสื่อสารและเข้าใจความหมายของภาษาในทางที่ผิดซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นต้นเหตุที่จะทำให้เสน่ห์ของภาษาไทยค่อย
ๆเลือนหายไปในปัจจุบันนี้ปรากฏว่าได้มีการใช้คำออกจะฟุ่มเฟือยและไม่ตรงกับความหมายอันแท้จริงทั้งออกเสียงก็ไม่ถูกต้องตามอักขรวิธี
ถ้าปล่อยให้เป็นไปดังนี้ภาษาของเราก็มีแต่จะทรุดโทรมชาติไทยเรามีภาษาของเราใช้เองเป็นสิ่งอันประเสริฐอยู่แล้วเป็นมรดกอันมีค่าตกทอดมาถึงเราทุกคนจึงมีหน้าที่จะต้องรักษาไว้ทุกวันนี้เราเห็นคนในสังคม
(บางคน) พูดไทยคำอังกฤษคำหรือเด็กวัยรุ่นใช้ภาษาไทยไม่ค่อยจะถูกต้องส่วนหนึ่งเป็นเพราะความนิยมเฉพาะกลุ่มและบุคคลที่ต้องการสร้างอรรถรสในการพูดคุยกันเองซึ่งทำให้ความสำคัญของภาษาไทยลดน้อยถอยลงอย่างที่ทุกคนเป็นกังวลแต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากไปกว่านั้นคือเมื่อต้องการใช้ภาษาไทยที่เป็นทางการโดยเฉพาะการเขียนจะพบว่าเกิดข้อผิดพลาดเป็นจำนวนมาก
พระบรมราโชวาทในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อวันที่
9 กรกฎาคม 2512 เราจะเห็นได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเน้นย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่างๆอยู่เสมอที่สำคัญยิ่งกว่านี้
คือเป็นที่ประจักษ์ว่าพระองค์มีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยทรงรอบรู้และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทยมาโดยตลอดกลุ่มคนที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กไทยใช้ภาษาไทยอย่างผิดเพี้ยนนั้นต่างมุ่งเป้าไปที่กลุ่มดาราวัยรุ่น
นักแสดง นักร้อง นักการเมือง และสื่อมวลชน ที่มักใช้ภาษาอย่างไม่เหมาะสม
มีการใช้คำแสลงจนภาษาไทยเข้าขั้นวิกฤติ
นอกจากนี้ยังมองว่าพ่อแม่ผู้ปกครองก็ไม่ได้ส่งเสริมสนับสนุนให้เด็กได้อ่านหนังสืออย่างอื่นนอกจากตำราเรียน
อีกทั้งสถานศึกษาอีกจำนวนมากไม่ได้สนับสนุนให้เด็กได้ร่วมกิจกรรมหรือโครงการดี ๆ
ที่เน้นการอ่าน การเขียน การพูด หรือกิจกรรมที่เน้นให้เด็กได้คลุกคลีกับตัวหนังสือ
ในขณะที่ห้องสมุดก็ไม่ค่อยจะมีกิจกรรมดึงดูดให้เด็กเข้าไปศึกษาหาความรู้แม้ปัญหาการใช้ภาษาไทยได้เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานหลายสิบปี
แต่ในยุคปัจจุบันนี้ปัญหายิ่งวิกฤติความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
ซึ่งมีปัจจัยหนุนนำที่สำคัญนั่นคือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว
เราจึงพบการใช้ภาษาไทยแบบผิด ๆ มากมายจนเกือบจะกลายเป็นความคุ้นชิน
โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น ยิ่งน่าเป็นห่วงมากที่สุด
เป็นกลุ่มที่นิยมใช้ภาษาที่มีวิวัฒนาการทางภาษาที่เฉพาะกลุ่ม
ซึ่งเป็นภาษาที่เกือบจะไม่มีไวยากรณ์ ไม่ว่าจะจากการรับส่งข้อความสั้น (SMS)
การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) การสนทนาออนไลน์
(MSN) หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นในโลกอินเทอร์เน็ตสำหรับภาษาของวัยรุ่นที่พบเห็นกันบ่อย
ๆ นั้น มีทั้งภาษาที่ใช้ในการพูด โดยมักพูดให้มีเสียงสั้นลง
หรือยาวขึ้น หรือไม่ออกเสียงควบกล้ำเลย เช่น ตัวเอง = ตะเอง, ครับ = คับ ,จริง =
จิง, เปล่า = ป่าว ส่วนภาษาที่ใช้ในการเขียน ซึ่งจะมีทั้งคำพ้องเสียง เช่น เธอ =
เทอ,ใจ = จัย,หนู = นู๋, ผม = ป๋ม,ไง = งัย, กรรม = กำ ,เสร็จ = เสด ,ก็ = ก้อ
หรือบางคำที่พิมพ์ด้วยความรีบเร่ง ซึ่งจะใกล้เคียงกับกลุ่มคำพ้องเสียง
เพียงแต่ว่าบางครั้งการกดแป้น Shift อาจทำให้เสียเวลา
จึงไม่กด แล้วเปลี่ยนคำที่ต้องการเป็นอีกคำที่ออกเสียงคล้ายกันแทน เช่น รู้ = รุ้,
เห็น = เหน,เป็น = เปน, ใช่ไหม = ชิมิ ,และยังมีกลุ่มที่ใช้สื่อสารในเกม
โดยใช้ตัวอักษรภาษาอื่นที่มีลักษณะคล้ายตัวอักษรภาษาไทย เช่น เทพ = Inw,นอน = uou,เกรียน = เกรีeu,หรือแม้แต่การเน้น
สั้นที่สุดโดยใช้สัญลักษณ์แทน เช่น 555 แทนเสียงหัวเราะ เป็นต้นและยังมีคำอีกมากมายที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น จนแทบจะกลายเป็นภาษาทางการของกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและนับวันยิ่งขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากทุกภาคส่วนในสังคมยังคงปล่อยวางไม่เร่งรีบหาทางแก้ไข และยังคงมีการใช้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดความเคยชิน อีกทั้งมีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งน่าหวั่นเกรงยิ่งนักว่าในอนาคตปัญหาวิกฤติภาษาไทยก็จะยิ่งยากเกินการเยียวยาแก้ไขณ วันนี้ หากฝืนปล่อยให้กลุ่มคนที่ชอบใช้ภาษาแบบผิด ๆ ด้วยค่านิยมที่ผิด ๆ เพียงรู้สึกว่าการใช้ภาษาตามค่านิยมวัยรุ่นเหล่านั้นดูเป็นคำที่น่ารักและยังช่วยให้พิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา นั่นคือการทำลายภาษาไทยโดยทางอ้อม และที่น่ากลัวยิ่งคือวัยรุ่นบางกลุ่มได้นำคำเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันและได้แพร่หลายเข้าไปในสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะนำพาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ทุกฝ่ายไม่ควรมองข้ามคงต้องฝากถึงผู้ดูแลระดับนโยบายทั้งหลายว่าทำอย่างไรที่จะสามารถกระตุ้นเตือน และปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย รวมถึงการสร้างความร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้มีความถูกต้องงดงามคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
สั้นที่สุดโดยใช้สัญลักษณ์แทน เช่น 555 แทนเสียงหัวเราะ เป็นต้นและยังมีคำอีกมากมายที่ถูกบัญญัติขึ้นโดยกลุ่มผู้ใช้ที่เป็นวัยรุ่น จนแทบจะกลายเป็นภาษาทางการของกลุ่มวัยรุ่นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายและนับวันยิ่งขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งปัญหาเหล่านี้หากทุกภาคส่วนในสังคมยังคงปล่อยวางไม่เร่งรีบหาทางแก้ไข และยังคงมีการใช้บ่อย ๆ ก็จะทำให้เกิดความเคยชิน อีกทั้งมีการนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนในที่สุดก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ซึ่งน่าหวั่นเกรงยิ่งนักว่าในอนาคตปัญหาวิกฤติภาษาไทยก็จะยิ่งยากเกินการเยียวยาแก้ไขณ วันนี้ หากฝืนปล่อยให้กลุ่มคนที่ชอบใช้ภาษาแบบผิด ๆ ด้วยค่านิยมที่ผิด ๆ เพียงรู้สึกว่าการใช้ภาษาตามค่านิยมวัยรุ่นเหล่านั้นดูเป็นคำที่น่ารักและยังช่วยให้พิมพ์ง่ายขึ้น โดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งที่จะตามมา นั่นคือการทำลายภาษาไทยโดยทางอ้อม และที่น่ากลัวยิ่งคือวัยรุ่นบางกลุ่มได้นำคำเหล่านี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันและได้แพร่หลายเข้าไปในสถานศึกษา ซึ่งจะเป็นหนทางที่จะนำพาความหายนะมาสู่วงการภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของชาติที่ทุกฝ่ายไม่ควรมองข้ามคงต้องฝากถึงผู้ดูแลระดับนโยบายทั้งหลายว่าทำอย่างไรที่จะสามารถกระตุ้นเตือน และปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย รวมถึงการสร้างความร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทยซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้มีความถูกต้องงดงามคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
การเปลี่ยนแปลงทางภาษาของวัยรุ่นไทยดังกล่าวนั้น
ไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งผิด แต่เป็นเรื่องของความเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมมากกว่า
ศัพท์แสลงหรือคำเฉพาะกลุ่มต่าง ๆ นั้น หากนำไปใช้เพื่อสื่อสารกันเองภายในกลุ่มเล็ก
ๆ ก็คงไม่เสียหายเท่าใดนัก แต่หากอยู่ในที่สาธารณะหรือใช้สื่อสารอย่างเป็นทางการ
การพูดคุยกับผู้ใหญ่หรือในการเรียนนั้นก็ควรจะต้องใช้ภาษาที่ถูกต้องทั้งในการพูดอ่านและเขียนอย่างไรก็ตามการจะให้เด็กใช้ภาษาไทยอย่างสุภาพและถูกต้องนั้นผู้ใหญ่พ่อแม่ครูอาจารย์และบุคคลสาธารณะต่าง
ๆ ควรจะสอนและเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่เด็กด้วย มิเช่นนั้นจะโทษว่าเด็กยุคใหม่ทำให้
“ภาษาไทยวิบัติ” ก็คงจะไม่ได้
ภาษาไทยจึงถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของประเทศไทย
ถึงแม้จะเป็นไปตามกระแสทางวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของมนุษย์ในปัจจุบันและอนาคต
แต่การช่วยกันอนุรักษ์ส่งเสริมการใช้ภาษาไทยที่ถูกต้องจะช่วยให้ภาษาไทยที่เป็นภาษาประจำชาติกลับมาคงความสวยงามและมีความหมายอย่างถูกต้องเหมือนในอดีต
การรักษาภาษาไทยที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของไทยที่มีมาแต่
สมัยพ่อขุนรามคำแหงทรงประดิษฐ์อักษรไทยให้คนไทยได้ใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าที่จะใช้ภาษาที่เก๋ๆแต่ทำให้ภาษาพ่อภาษาแม่ของเรา วิบัติไป
จึงอยากเชิญชวนให้คนไทยทุกคนช่วยกันรณรงค์ให้ใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง
และช่วยกันรักษาอนุรักษ์ภาษาที่เป็นสิ่งที่เราใช้แสดงความเป็นไทย ความเป็นเอกราช
ของประเทศไทยเราเอง ช่วยกันสืบต่อให้คนรุ่นหลังของเราได้ใช้ภาษาไทยที่สวยงานและถูกต้องต่อไป
ความสำคัญของภาษาไทย
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติ เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ
และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารความเข้าใจและความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันทำให้สามารถประกอบกิจและดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมประชาชาติได้อย่างสันติสุขและเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้
ประสบการณ์ จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆเพื่อพัฒนาความรู้ ความคิด วิเคราะห์ วิจารณ์
และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางสังคมและเศรษฐกิจนอกจากนี้ยังเป็นสื่อที่แสดงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษด้านวัฒนธรรมประเพณีและสุนทรียภาพ
โดยบันทึกไว้เป็นวรรณคดีและวรรณกรรมอันล้ำค่าภาษาไทยจึงเป็นสมบัติของชาติที่ควรค่าแก่การเรียนรู้
เพื่ออนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือใช้สื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและตรงตามจุดหมายไม่ว่าจะเป็นการแสดงความคิดความต้องการและความรู้สึกคำในภาษาไทยย่อมประกอบด้วยเสียงรูปพยัญชนะสระ
วรรณยุกต์และความหมายส่วนประโยคเป็นการเรียงคำตามหลักเกณฑ์ของภาษาและประโยคหลายประโยคเรียงกันเป็นข้อความนอกจากนั้นคำในภาษาไทยยังมีเสียงหนักเบามีระดับของภาษาซึ่งใช้ให้เหมาะแก่กาลเทศะและบุคคลภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา
ตามสภาพวัฒนธรรมของกลุ่มคนตามสภาพของสังคมและเศรษฐกิจการใช้ภาษาเป็นทักษะที่ผู้ใช้ต้องฝึกฝนให้เกิดความชำนาญไม่ว่าจะเป็นการอ่านการเขียนการพูดการฟังและการดูสื่อต่างๆรวมทั้งต้องใช้ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษาเพื่อสื่อสารให้เกิดประสิทธิภาพและใช้อย่างคล่องแคล่วมีวิจารณญาณและมีคุณธรรม
ภาษาไทยเป็นเครื่องมือของคนในชาติเพื่อการสื่อสารทำความเข้าใจกันและใช้ภาษาในการประกอบกิจการงานทั้งส่วนตัวครอบครัวกิจกรรมทางสังคมและประเทศชาติเป็นเครื่องมือการเรียนรู้การบันทึกเรื่องราวจากอดีตถึงปัจจุบันและเป็นวัฒนธรรมของชาติดังนั้นการเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนรู้เพื่อให้เกิดทักษะอย่างถูกต้องเหมาะสมในการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการเรียนแสวงหาความรู้และประสบการณ์
เรียนรู้ในฐานะเป็นวัฒนธรรมทางภาษาให้เกิดความชื่นชมซาบซึ้งและภูมิใจในภาษาไทยโดยเฉพาะคุณค่าของวรรณคดีและภูมิปัญญาทางภาษาของบรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ไว้
อันเป็นส่วนเสริมสร้างความงดงามในชีวิต
การเรียนรู้ภาษาไทยย่อมเกี่ยวพันกับความคิดของมนุษย์
เพราะภาษาเป็นสื่อของความคิดการเรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนได้สร้างสรรค์
คิดวิพากษ์วิจารณ์ คิดตัดสินใจแก้ปัญหาและวินิจฉัยอย่างมีเหตุผล ขณะเดียวกันการใช้ภาษาอย่างมีเหตุผลใช้ในทางสร้างสรรค์และใช้ภาษาอย่างสละสลวยงดงามย่อมสร้างเสริมบุคลิกภาพของผู้ใช้ภาษาให้น่าเชื่อถือและเชื่อภูมิด้วย
ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารการอ่านการฟังเป็นทักษะของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็นความรู้และประสบการณ์การเรียนรู้ภาษาไทยจึงต้องเรียนเพื่อการสื่อสารให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์สามารถเลือกใช้คำเรียบเรียงความคิดความรู้และใช้ภาษาได้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์
ได้ตรงตามความหมาย และถูกต้องตามกาลเทศะบุคคลและใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาษาไทยมีส่วนที่เป็นเนื้อหาสาระได้แก่
กฎเกณฑ์ทางภาษา ซึ่งผู้ใช้ภาษาจะต้องรู้และใช้ภาษาให้ถูกต้องนอกจากนั้นวรรณคดีและวรรณกรรมตลอดจนบทร้องเล่นของเด็กเพลงกล่อมเด็กปริศนาคำทาย
เพลงพื้นบ้าน วรรณกรรมพื้นบ้าน เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมซึ่งมีคุณค่าต่อการเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนวรรณคดีวรรณกรรมภูมิปัญญาทางภาษาที่ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดค่านิยมขนบธรรมเนียมประเพณี
เรื่องราวของสังคมในอดีตและความงดงามของภาษาในบทประพันธ์ทั้งร้อยแก้วร้อยกรองประเภทต่างๆ
เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งความภูมิใจในสิ่งที่บรรพบุรุษได้สั่งสมและสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน
ภาษาไทยเป็นภาษาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีรากฐานมาจากออสโตรไทย
ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาจีน มีหลายคำที่ขอยืมมาจากภาษาจีนพ่อขุนรามคำแหงได้ประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 1826 (ค.ศ.1283) มี พยัญชนะ 44
ตัว (21 เสียง), สระ 21
รูป (32 เสียง), วรรณยุกต์
5 เสียงคือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ภาษาไทยดัดแปลงมาจากบาลีและสันสกฤต
คนไทยเป็นผู้ที่โชคดีที่มีภาษาของตนเองและมีอักษรไทยเป็นตัวอักษร
ประจำชาติอันเป็นมรดกล้ำค่าที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้ซึ่งเป็นเครื่องแสดงว่าไทยเราเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาลและยั่งยืนมาจนปัจจุบันคนไทยผู้เป็นเจ้าของภาษา
ควรภาคภูมิใจที่ชาติไทยใช้ภาษาไทยเป็นภาษาประจำชาติมากว่า 700 ปีแล้วและจะยั่งยืนตลอดไป ถ้าทุกคนตระหนักในความสำคัญของภาษาไทยภาษาเป็นวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ
ภาษาเป็นสื่อใช้ติดต่อกันและทำให้วัฒนธรรมอื่นๆเจริญขึ้นแต่ละภาษามีระเบียบของตนแล้วแต่จะตกลงกันในหมู่ชนชาตินั้น
ภาษาจึงเป็นศูนย์กลางยืดคนทั้งชาติ ดังข้อความ ตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์ในพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเรื่อง
"ความเป็นชาติโดยแท้จริง" ว่าภาษาเป็นเครื่องผูกพันมนุษย์ต่อมนุษย์แน่นว่าสิ่งอื่นและไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้คนรู้สึกเป็นพวกเดียวกันหรือแน่นอนยิ่งไปกว่าภาษาเดียวกันรัฐบาลทั้งปวงย่อมรู้สึกในข้อนี้อยู่ดีเพราะฉะนั้นรัฐบาลใดที่ต้องปกครองคนต่างชาติต่างภาษา
จึงต้องพยายามตั้งโรงเรียนและออกบัญญัติบังคับให้ชนต่างภาษาเรียนภาษาของผู้ปกครอง แต่ความคิดเห็นเช่นนี้จะสำเร็จตามปรารถนาของรัฐบาลเสมอก็หามิได้แต่ถ้ายังจัดการแปลง
ภาษาไม่สำเร็จอยู่ตราบใด ก็แปลว่า ผู้พูดภาษากับผู้ปกครองนั้นยังไม่เชื่ออยู่ตราบนั้นและยังจะเรียกว่าเป็นชาติเดียวกันกับมหาชนพื้นเมืองไม่ได้
อยู่ตราบนั้น ภาษาเป็นสิ่งซึ่งฝังอยู่ในใจมนุษย์ดังนั้นภาษาก็เปรียบได้กับรั้วของชาติ
ถ้าชนชาติใดรักษาภาษาของตนไว้ได้ดี ให้บริสุทธิ์ก็จะได้ชื่อว่ารักษาความเป็นชาติคนไทยทุกคนใช้ภาษาไทยเป็นสื่อความรู้สึกนึกคิดเท่านั้นยังไม่เพียงพอควรจะรักษาระเบียบความงดงามของภาษาซึ่งแสดงวัฒนธรรมและ
เอกลักษณ์ประจำชาติไว้อีกด้วยดังพระราชดำรัสสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีตอนหนึ่งว่าภาษานอกจากจะเป็นเครื่องสื่อสารแสดงความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วโลกแล้วภาษาซึ่งเจริญรุ่งเรืองมาแต่อดีตกาลเราผู้เป็นอนุชนจึงควรภูมิใจช่วยกันผดุงรักษามรดกทางวัฒนธรรมอันเป็นทรัพย์สินทางปัญญาที่บรรพบุรุษได้อุตส่าห์สร้างสรรค์ขึ้นจงช่วยกันอนุรักษ์และสืบสานให้คงอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น