บทความเชิงวิชาการ
เรื่อง คนชายขอบ
สิทธิของคนชายขอบ
ชาติพันธ์และความเป็นชายขอบ เป็นกระบวนการสร้างพรมแดนของอัตลักษณ์ร่วมประเภทหนึ่งซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเองตามลำพัง หากแต่พัฒนาขึ้นภายใต้ระบบความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างกลุ่มต่างๆ
ในสังคม บ่อยครั้งที่ความสัมพันธ์ดังกล่าวดำเนินการถูกจัดให้ปฏิสัมพันธ์กันแบบคู้ตรงข้าม โดยที่ฝ่ายหนึ่งครอบงำอีกฝ่ายหนึ่ง เช่น
การสร้างเส้นแบ่งระหว่างความเป็นชนกลุ่มใหญ่กับความเป็นชนกลุ่มน้อย การสถาปนาความเป็นศูนย์กลางทางสังคม
วัฒนธรรม
และความรู้ของสังคมไทยพื้นราบ
ที่แตกต่างไปจากสังคมของชนในภูเขา
หรือกำหนดการบรรทัดฐานระหว่างความผิดปกติทางเพศสภาพ เป็นต้น ในระบบความสัมพันธ์แบบทวิลักษณ์
การขีดเส้นพรมแดนของอัตลักษณ์ร่วม ไม่เพียงแต่เป็นการรวมเอาพวกที่เหมือนกันเข้าด้วยกันเท่านั้น หากยังเป็นการรวมเอาพวกที่เหมือนกันเข้าด้วยกันเท่านั้น
หากยังเป็นการพยายามเปลี่ยนอัตลักษณ์ชายขอบที่แตกต่างเหมือนกับสังคมศูนย์กลาง
ตลอดจนเบียดขับอัตลักษณ์ที่แตกต่างและดิ้นรั้น
ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงออกไป
ในแง่นี้ชาติพันธุ์และความเป็นชายขอบจึงไม่ใช่กระบวนการทางสังคม
หรือความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
หากเป็นกระบวนการที่ถูกสร้างขึ้นบนความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ที่กลุ่มชนที่มีอำนาจเหนือกว่ากำหนด สร้าง
ตีความ
และใช้สิ่งที่เรียกว่าอัตลักษณ์ร่วม
ในฐานะที่เป็นอัตลักษณ์สากล
และจัดกลุ่มสิ่งที่ไม่เหมือนให้เป็นอัตลักษณ์ชายขอบ ที่ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่มีความสำคัญ หรือกระทั่งถูกตีตราว่าเป็นอัตลักษณ์ร่วม ในฐานะที่เป็นอัตลักษณ์สากล
และกลุ่มสิ่งที่ไม่เหมือนให้เป็นอัตลักษณ์ชายขอบ
ที่ถูกทำให้กลายเป็นสิ่งที่สร้างปัญหา
ในบทความนี้ ได้รวบรวมกรณีศึกษาและบทวิเคราะห์
ชีวิตทางสังคมของกลุ่มชนอันหลากหลายที่อาศัยอยู่ในชายขอบของสังคมไทย ทั้งที่ห่างไกลจากสังคมเมือง
บทความเหล่านี้ได้พิจารณาปฏิสัมพันธ์และความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ที่ชนในชายขอบเหล่านี้มีต่อสังคมเมืองในศูนย์กลาง
โดยวิเคราะห์ถึงกระบวนการที่ก่อให้เกิดความเป็นชาติพันธุ์
และความเป็นชายขอบของกลุ่มคนเหล่านี้ภายใต้ความสัมพันธืซับซ้อนกับสถาบันทางสังคมต่างๆ
ในสังคมไทย
ความหมายของคนชาติขอบ
คนชายขอบ (marginal people ; marginalisation) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มคนที่สังคมไม่สนใจเหลียวแล ถูกทิ้งขว้างแปลกแยกจากสังคมกระแสหลัก เช่น ชาวเขา ชนกลุ่มน้อย ผู้หญิงขายบริการ กลุ่มรักเพศเดียวกัน หรือคนพิการ นอกจากนี้ คนชายขอบยังรวมถึงผู้ที่ถูกปฏิเสธโดยสังคมส่วนใหญ่ เช่น ในห้องเรียน ถ้าบังเอิญเราเรียนไม่เก่ง แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียนเป็นคนเรียนเก่งแทบทั้งหมด เราก็อาจจะกลายเป็นคนชายขอบได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น กาลเทศะ (space/time) จึงไม่ใช่แค่คนที่อยู่ชายขอบแบบที่อยู่ตามชายแดนระหว่างประเทศ เท่านั้น แต่หมายถึงคนที่ถูกคนส่วนใหญ่มองว่าเป็นคนส่วนน้อยในสังคม อันเป็นที่ว่างทางวัฒนธรรมด้วยเช่นกัน (ที่มา : มหาวิทยาลัยนเรศวร. ความเป็นคนชายขอบกับปัญหาสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย. สืบค้นเมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2555 จาก th.wikipedia.org/wiki/คนชายขอบ)
ในภาษาไทยคำว่า “ชาย” ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถานนั้น หมายถึง
ส่วนริม หรือปลายของบางอย่าง เช่น
ชายผ้าจีวร “ส่วนที่สุดเขต/ริม” เช่น
ชายฝั่ง ชายแดน ชายทะเล
ความหมายนี้จะมีนัยไปในทางกายภาพหรือภูมิศาสตร์ แต่หากเราพิจารณาเนื้อหาของนิยามศัพท์ Marginalisation ต่อๆไป เราจะพบความหมายของคำว่า “ชายขอบ” ที่อ้างอิงไปถึงการอยู่วงนอก การไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงในการคิดหรือตัดสินใจ
อันที่จริง ในวงวิชาการสังคมวิทยาของประเทศเรา คำว่า “ชายขอบ” ก็มิใช่คำใหม่ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนแต่อย่างใด
ในพจนานุกรมศัพท์สังคมวิทยาฉบับราชบัณฑิตยสถาน มีการบัญญัติศัพท์คำนี้ในภาษาไทยไว้อย่างชัดเจนโดยให้คำนิยามว่า
“กลุ่มชายขอบ” ซึ่งหมายถึง กลุ่มคนที่ยังไม่ถูกกลืนเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มใหญ่อย่างสมบูรณ์ กลุ่มที่ละทิ้งวัฒนธรรมเดิมของตนไปบางส่วน และยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์ กลุ่มที่ละทิ้งวัฒนธรรมเดิมของตนไปบางส่วน
และยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับอย่างสมบูรณ์ในวัฒธรรมใหม่ที่กลายมาเป็นวิถีชีวิตของตน คำนี้มักจะนำมาใช้กับกลุ่มคนที่อพยพย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ ในกลุ่มคนนี้จะมีวัฒนธรรมต่างๆ
ผสมกันมากมาย ดังนั้นทัศนคติ คุณค่า
และแบบพฤติกรรมที่แสดงออกมากจึงมิได้มีลักษณะเป็นของวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง
ในอีกคำหนึ่งที่เกี่ยวข้องกันในบทความนี้คือ
“ชนกลุ่มน้อย” หมายถึง
กลุ่มคนซึ่งกำหนดโดยขนาดหรือส่วนของประชากรว่ามีจำนวนน้อยกว่าประชากรส่วนใหญ่กล่าวคือ เป็นกลุ่มย่อย
ซึ่งมีแบบอย่างวัฒนธรรมย่อยอยู่ภายในสังคมใหญ่
ชนกลุ่มน้อยในสังคมต่างๆ
มีเอกลักษณ์หรือพันธะผูกพันกันด้วยเชื้อชาติ สัญชาติ
ศาสนา หรือลักษณะอื่นๆ ทางวัฒนธรรมที่เห็นได้ชัดเจนว่าต่างจากส่วนใหญ่ของสังคม
ในสังคมที่มีปัญหาเกี่ยวกับสัมพันธ์ทางเชื้อชาติมักพบว่า
ชนกลุ่มน้อยตกอยู่ในฐานะถูกเดียดฉันท์และได้รับการปฏิบัติไม่เท่าเทียมกับคนกลุ่มใหญ่
กระบวนการสร้างคนชายขอบ
ภาวะหรือกระบวนการที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลถูกปฏิเสธหนทางที่จะเข้าถึงการได้รับตำแหน่งสำคัญและเป็นสัญลักษณ์ทางเศรษฐกิจ
ศาสนา อำนาจทางการเมืองในสังคมใดๆ
กลุ่มชายขอบนี้อาจเป็นชนกลุ่มใหญ่จำนวนหนึ่ง
เช่น กรณีประชากรผิวดำซึ่งเป็นพลเมืองส่วนใหญ่ที่สุดของแอฟริกาใต้ ภายใต้ระบอบกีดกันผิวนั้น คนผิวดำได้กลายเป็นคนชายขอบ
แม้คนผิวขาวซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่แม้มีจำนวนน้อยกว่าแต่เข้าถึงอำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจ
จึงทำให้สามารถดำรงตนเป็นผู้ปกครองได้
กระบวนการกลายเป็นชายขอบกลายเป็นหัวเรื่องสำคัญในการวิจัยทางสังคมวิทยาในช่วงทศวรรษ
1960 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการตอบรับต่อความตระหนักถึงประเทศกำลังพัฒนาบางประเทศที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
แต่ทว่าสมาชิกของสังคมเหล่านี้กลับได้รับส่วนแบ่งผลตอบแทนจากความสำเร็จแตกต่างกันและไม่เท่าเทียมกันมากขึ้นเสียกว่าที่เคย
ในประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จนั้นความกว้าหน้าทางเศรษฐกิจของชาติดำเนินไปควบคู่กันกับการกีดกันประชากรกลุ่มใหญ่ออกจากชีวิตทางเศรษฐกิจ
ทั้งนี้เพราะหนทางของอุตสาหกรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจของสังคมที่กำลังพัฒนาใดๆ
มักจะหมายถึงการพึ่งพาอาศัยการนำเข้าเทคนิควิทยาการและเครื่องจักรจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก
บ่อยครั้งการพัฒนาประเทศจึงกินความหมายไปถึงการลดความสำคัญของการผลิตด้านอื่นๆ เช่น
การละเลยการผลิตพืชอาหารหลักไปโดยปริยาย
บรรดาคนจนทั้งที่อยู่ในเมือง และชนบท
สังคมเหล่านั้นถูกกีดกันให้ออกไปอยู่ขอบนอกหรือขอบชายขอบ ของระบบมิให้เกี่ยวข้องกับการพัฒนา
กลุ่มคนเหล่านี้ตกอยู่ในฐานะเสมือนถูกระบบกดหัวให้ภาวะความยากจนอย่างที่สุดมิหนำซ้ำยังได้รับผลกระทบที่สืบเนื่องมาจากการขาดบริการด้านสังคมและสวัสดิการทั้งนี้เพราะถูกกันให้อยู่นอกระบบสวัสดิการจึงทำให้ยากที่จะลืมตาอ้าปากและมีโอกาสรับจ้างงานที่ปกติสุขหรือมีชีวิตที่มีศักดิ์ศรีได้
ประเภทของคนชายขอบ
1. ชายขอบของภูมิศาสตร์ ซึ่งใครก็ตามที่อยู่ขอบริมของแผนที่ คนเหล่านั้นก็คือคนชายขอบ.
แต่รายละเอียดของความเป็นชายขอบนั้นอาจมีเนื้อหาแตกต่างกัน เช่นบางคนอยู่ชายขอบ กลับเป็นการเอื้อต่อการลงทุนที่ข้ามไปลงทุนในชายแดนกับอีกประเทศหนึ่ง
บางคนเป็นผู้ซึ่งมีอิทธิพลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจอยู่ตรงบริเวณนั้น เช่น
มีโรงงานอุตสาหกรรม มีการร่วมลงทุนในทางธุรกิจการท่องเที่ยว ธุรกิจบ่อนการพนัน
การฟอกเงินต่างๆ ส่วนบางคน กลับถูกกีดกันในการเข้าถึงทรัพยากรในระดับพื้นฐานที่สุด
เช่น ไม่มีที่ทำกิน ถูกเอาเปรียบขูดรีดแรงงาน
และถูกใช้เป็นกันชนในเขตชายแดนที่มีปัญหาข้อพิพาท เป็นต้น
2. ชายขอบของประวัติศาสตร์ สำหรับเรื่องนี้มันมีพลวัตรเปลี่ยนแปลงไปมา
และสัมพันธ์กับสภาพภูมิศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างเช่น สมัยอาณาจักรสุโขทัย
อยุธยาก็เป็นเพียงเมืองชายขอบ มาถึงสมัยอยุธยา
สุโขทัยก็เปลี่ยนแปลงความสำคัญของตัวเองไป
และศูนย์กลางอย่างกรุงเทพฯก็จัดว่าเป็นดินแดนชายขอบของอาณาจักรอยุธยา เป็นต้น
จะเห็นว่า หากมองจากแง่ของประวัติศาสตร์มันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นพลวัตร
3. ชายขอบของความรู้ หากมามองกันที่ตัวของความรู้
ความรู้ใดที่ไม่สอดคล้องกับความรู้อื่นๆ ความรู้ใดที่ไม่ใช่กระแสหลัก
ความรู้นั้นก็เป็นชายขอบ แม้แต่คนที่อยู่ที่ศูนย์กลางขอบเขตทางภูมิศาสตร์
หากมีความรู้ต่างไปจากสังคม ต่างไปจากความเชื่อ ความคิด ความเห็นของคนส่วนใหญ่
ความรู้นั้นก็เป็นชายขอบในท่ามกลางศูนย์กลางนั่นเอง
ตัวอย่างในเรื่องนี้ที่จะขอยกขึ้นมาก็คือ ในสมัยเริ่มต้นการพัฒนาเมื่อประมาณ 40 กว่าปีที่แล้ว จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ได้มีจดหมายไปถึงมหาเถรสมาคม ไม่ให้สอนเรื่องสันโดษ ทั้งนี้เข้าใจว่า
หลักการดังกล่าวของพระพุทธศาสนาไปขัดกับหลักของการพัฒนาประเทศ อย่างนี้
ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของสันโดษก็คือเป็นความรู้แบบชายขอบ
สิทธิความเป็นมนุษย์
มนุษย์เรามีร่างกายและจิตใจ ซึ่งในองค์ประกอบที่เป็นจิตใจก็มีความคิด สติปัญญา
และอารมณ์ความรู้สึก ชีวิตของคนจะดำรงอยู่ได้อย่างมีสุข นอกจากจะต้องมีวัตถุปัจจัยมาสนองตอบความต้องการของชีวิตร่างกาย เช่น
อาหาร ที่อยู่ เสื้อผ้า
ยารักษาโรค
ยังจะต้องมีความคิดจิตใจ
และอารมณ์ความรู้สึกให้ถูกต้องดีงาม
ในบรรดาความคิดจิตใจและอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลายของมนุษย์มีความรู้สึกนึกคิดอยู่อย่างหนึ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตจิตใจมนุษย์ที่รู้ว่าตนเองมีคุณค่า
มีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของตนเองและต่อสังคม ไม่ชอบให้ใครมาดูถูกเหยียดหยาม ทำให้รู้สึกต่ำต้อย ด้อยค่า
ไร้ศักดิ์ศรี
รู้สึกไม่มีคุณค่า
หรือถูกปฏิบัติอย่างไม่ใช่คน
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คือ คุณค่ามีความสำคัญเป็นมนุษย์คือ คุณค่าความเป็นมนุษย์ คุณค่าของคน
ซึ่งมนุษย์ทุกคนมีเท่ากันไม่ว่าจะเป็นเชื้อชาติชนชาติ เพศ ผิว ภาษา ศาสนา วัฒนธรรม วงศ์ตระกูล
สถานะสูงส่ง ต่ำต้อย ฯลฯ
ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนเราทุกด้าน ตั้งแต่ชีวิตทางสังคม ชุมชน ครอบครัว การคบค้าสมาคม
การประกอบอาชีพ
การศึกษาการเรียนรู้
ไปจนถึงชีวิตทางการเมือง รัฐและสังคมจะต้องเคารพ โดยไม่เหยียดหยามกีดกัน ข่มเหง รังแก
หรือปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันเหมือนไม่ใช่มนุษย์หรือปฏิบัติต่อมนุษย์เหมือนสัตว์หรือสิ่งของไม่ได้ มนุษย์ทุกคนล้วนมีคุณค่า
ทุกคนที่เกิดมาล้วนมีคุณค่าในฐานะที่มีชีวิต มีร่างกาย เลือดเนื้อ ความรู้สึก
และจิตวิญญาณ
การนำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มาเป็นหลักการนำในการดำรงชีวิตเราก็จะปฏิบัติต่อผู้อื่นโดยไม่คิดว่าตนเองมีเชื้อชาติหรือสัญชาติเหนือกว่าผู้อื่นโดยไม่คิดว่าตนเองมีเชื้อชาติหรือสัญชาติเหนือกว่าผู้อื่นการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จะทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและประชาชนลดการทำร้าย การฆ่ากัน
การใช้ความรุนแรง
การวิสามัญฆาตกรรมได้มาก ปัจจุบันแม้ความคิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์จะแพร่หลายไปทุกหนทุกแห่ง แต่ในทุกสังคมยังมีการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างกว้างขวาง อาทิ
การค้ามนุษย์
แม่บังคับให้ลูกสาวขายประเวณี การไม่ให้เกียรติผู้ที่มีฐานะด้อยกว่า การใช้ความรุนแรงในการทุบตีนักโทษ เป็นต้น
ดังนั้นจึงต้องช่วยกันขจัดให้หมดไป
กรณีศึกษาที่
1 :
การประทับตราของคนในสังคมให้ “ม้ง” กลายเป็นผู้ต่ำต้อยทางศีลธรรม
ปัญหายาเสพติด
เป็นหนึ่งในภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างและผลิตซ้ำในสังคมไทยเกี่ยวกับกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ผู้เคยมีวัฒนธรรมการผลิตฝิ่นมายาวนานในอดีต ชาวม้งมักถูกอ้างว่าเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหายาเสพติดในฐานะผู้ปลูก/เสพ
ค้าฝิ่นและเฮโรอีนไปจนถึงการค้ายาบ้าในปัจจุบัน
ภาพลักษณ์เล้านี้ถูกสะท้อนและตอกย้ำให้ผู้คนในสังคมเชื่อและเข้าใจเช่นนั้นด้วยการเผยแพร่จากสื่อมวลชนออกสู่สาธารณะ และสถานการณ์เช่นนี้ล้วนสร้างภาพลบแก่ชาวม้งให้ถูกกีดกันและถูกประทับตราจากสังคมให้กลายเป็นผู้ต่ำต้อยทางศีลธรรมและเบียดขับชาวม้งให้กลายเป็นคนชายขอบของสังคมไปในที่สุด
ในประวัติศาสตร์ภาพลักษณ์ฝิ่นของชาวม้งและชนบนที่สูง
กลับพบภาพลักษณ์ฝิ่นที่ทับซ้อนกันมากกมายหลายภาพและปรับเปลี่ยนไปมาจนถึงปัจจุบัน
ในสังคมตะวันตกก่อนที่ฝิ่นจะกลายเป็นสิ่งผิดศีลธรรมและกลายเป็นยาเสพติด ภาพลักษณ์ฝิ่นของสังคมตะวันตกยุคล่าอาณานิคมคือ
พืชที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของพ่อค้าและรัฐบาลตะวันตกก่อนที่ฝิ่นจะกลายเป็นสิ่งผิดศีลธรรมและกลายเป็นยาเสพติด ภาพลักษณ์ฝิ่นของสังคมตะวันตกยุคล่าอาณานิคมคือ
พืชที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือแสวงหาผลประโยชน์ของพ่อค้าและรัฐบาลตะวันตกจนฝิ่นแพร่ระบาดไปทั่วเอเชีย
จากนั้นฝิ่นยังกลายเป็นพืชการเมืองเพื่อแก้ปัญหาการขาดดุลการค้าของประเทศจีน และถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักล่าอุดมการณ์เสรีนิยมอย่างสหรัฐอเมริกาและกลุ่มอำนาจต่างๆ
จนสร้างกระบวนการค้าฝิ่นบนภูเขาให้เติบโตขึ้นในเขตสามเหลี่ยมทองคำ ขณะที่ในวิถีวัฒนธรรมของชาวม้งและชนบทที่สูง
ฝิ่นกลับมีภาพลักษณ์และมิติอันหลากหลายทั้งในแง่การรักษาพยาบาลพื้นบ้าน
เป็นพืชเศรษฐกิจที่ใช้แลกเปลี่ยนสิ่งของอันจำเป็น ตลอดจนฝิ่นยังถูกใช้เป็นเครื่องแสดงความมั่นคงในชีวิตและแสดงสถานภาพต่อสังคม
ความสำคัญของฝิ่นต่อชาวม้งยังแทรกซึมลงไปในวิธีคิดและอุดมการณ์ของชาวม้งซึ่งสะท้อนให้เห็นในตำนาน พิธีกรรม
ความเชื่อ
แต่ภาพลักษณ์ฝิ่นที่มีความหลากหลายและทับซ้อนไปมาเหล่านี้ ได้ถูกลดทอนให้เหลือเพียงภาพลักษณ์ของยาเสพติดในปัจจุบัน
ซึ่งได้กลายเป็นภาพตีตราชาวม้งแลชนบนที่สูงให้กลายเป็นผู้ต่ำต้อยทางศีลธรรมของสังคมและกักขังชาวม้งให้ติดอยู่กับอัตลักษณ์ที่ตายตัวในปัจจุบัน
สำหรับแนวคิดในการศึกษาในครั้งนี้ได้มองความหมายฝิ่นว่าถูกสร้างขึ้นจากปฏิบัติการทางภาษา
ในแต่ละยุคสมัยบนฐานการเมืองเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ปรับเปลี่ยนไปมาระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมครอบงำ
ซึ่งได้สร้างชุดวาทกรรมครอบงำผ่านการสร้างภาพตัวแทน/ผลิตชุดความหมายเพื่อตอบสนองตอบต่อผลประโยชน์ของตน กับชาวม้งซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ด้อยอำนาจที่ถูกจัดวางและถูกเบียดขับจากวาทกรรมครอบงำชุดนี้ จากนั้นได้ประยุกต์แนวคิดเรื่อง
“กระบวนการการกักขัง (strategies
of containment)” ของเฟรดริค
เจมสัน มาวิเคราะห์การสร้าง “ภาพตัวแทน”
ของฝิ่นในชุดวาทกรรมครอบงำที่เชื่อมโยงกับอัตตาลักษณ์ของชาวม้ง โดยภาพตัวแทนและชุดนิยามความหมายฝิ่นได้สร้างความครอบงำได้เข้าไปครอบงำ
ควบคุมและจัดการชีวิตของชนเผ่าม้งบนแนวความคิด “การพัฒนา” ผ่านกระบวนการใช้อำนาจต่างๆ
ของรัฐ ทำการควบคุมดูแล
มีการให้ความรู้เรื่องยาเสพติดให้กับชนเผ่า
ซมีมาตรการเฉพาะต่อการควบคุมจัดการปัญหาการปลูกฝิ่นของชนบทที่สูงเพื่อตอกย้ำการ
“มีอยู่” ของภาพตัวแทนและวาทกรรมครอบงำ
กระบวนการกักขังอัตลักษณ์ชาวม้ง
กะบวนการกักขังอัตลักษณ์ชาวม้งเกิดขึ้นในบริบททางการเมืองเรื่องความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่มวัฒนธรรมครอบงำ ซึ่งหมายถึงตะวันตกและรัฐไทยกบกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ด้อยอำนาจ
ในบริบททางการเมืองเช่นนี้กลุ่มวัฒนธรรมครอบงำได้สร้างภาพตัวแทนฝิ่นที่เป็นยาเสพติดเชื่อมโยงกับอัตลักษณ์ชาวม้ง
การสร้างภาพตัวแทนนี้ในระดับแรกเป็นเรื่องราวของชาวม้งในด้านลบ ซึ่งเป็น symbolic act ของกลุ่มวัฒนธรรมครอบงำเพื่อสร้างและปรับปรุงแต่ความจริงเกี่ยวกับชาวม้งขึ้น ในระดับแรกภาพตัวแทนที่ถูกสร้างขึ้นเกี่ยวกับความเป็นม้งคือ
“มายาภาพ (nominal)”
ที่กำหนดนิยามความหมายอัตลักษณ์ของชาวม้งเอาไว้เป็นสารัตถนิยม
จากภาพตัวแทนฝิ่นที่เชื่อมโยงกับความเป็นม้งในบริบทที่ฝิ่นกลายเป็นยาเสพติด
ภาพลักษณ์ดังกล่าวยิ่งฉายชัดเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเริ่มรุนแรงมากขึ้น
ในทศวรรษ 2510
ภาพลักษณ์ฝิ่นซึ่งเป็นยาเสพติดเชื่อมโยงกับความเป็นม้งได้ถูกเสนอมากขึ้น
เพื่อให้รัฐได้ใช้เป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการจัดการกับชีวิตชาวม้งในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างแนวคิดคอมมิวนิสต์กับเสรีนิยม เช่น
การกำหนดนโยบายผสมกลมกลืน
อพยพชาวม้งลงจากดอย สร้างนิคมชาวเขา
โครงการพัฒนา
เปลี่ยนระบบการเกษตรจัดการศึกษาและให้ความรู้ตามระบบของรัฐ ต่อเมื่อภายหลังยุคความมั่นคงแห่งชาติช่วงปี
พ.ศ.2526 ในบริบทการเริ่มต้นของกระแสอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ
กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ภาพลักษณ์ฝิ่นกับความเป็นม้งถูกเชื่อมโยงและถูกขยายไปสู่ภาพตัวแทนอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องกับฝิ่น เช่น
การทำไร่ย้ายที่ในระบบหมุนเวียนตามวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวม้งได้ถูกชี้ว่าเป็นการทำไร่ย้ายที่เพื่อการปลูกฝิ่น
ซึ่งเป็นภัยความมั่นคงแห่งชาติด้านยาเสพติดและเป็นการทำลายป่า
แม้ว่าชาวม้งจะเปลี่ยนระบบการผลิตไปสู่พืชเศรษฐกิจทดแทนฝิ่น แต่ระบบการทำไร่ของชาวเผ่าม้งก็ยังคงถูกกล่าวอ้างว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงในแง่ของการทำลายสิ่งแวดล้อมจากระบบการผลิตที่ใช้ปุ๋ย และยาฆ่าแมลง
ต่อมาเมื่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเติบโตขึ้น
ความเป็นม้งได้ถูกเชื่อมโยงกับการท่องเที่ยวเพื่อสร้างภาพตัวแทนทางการเมืองชาวม้งในฐานะเป็นชาวเขาที่มีวัฒนธรรมแปลกแตกต่างจากคนอื่น ชาวม้งเริ่มมีภาพของ “สินค้าทางวัฒนธรรม”
เพื่อการท่องเที่ยวในฐานะ “ผู้ถูกท่องเที่ยว”
จากนั้นรัฐได้กำหนดนโยบายการท่องเที่ยว
ส่งเสริมให้ชาวม้งสวมเครื่องแต่งกายและใช้วัฒนธรรมของตนเอง รวมทั้งฝิ่นเป็นสินค้าสำหรับการท่องเที่ยวด้วย
ความลักลั่นขัดแย้งและเงื่อนไขในการตอบโต้ของชาวม้ง
ปฏิกิริยาที่ชาวม้งแสดงออกต่อการกักขังอัตลักษณ์
โดยเฉพาะการตอบโต้นั้นไม่สามารถกระทำการได้อย่างสำเร็จผลเสมอไป
เพราะการตอบโต้ดังกล่าวในบางระดับไม่ให้เกิดการปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างชาวม้งกับรัฐ
และสามารถปรับเปลี่ยนภาพตัวแทนและชุดความหมายของวาทกรรมครอบงำได้
ในทางหนึ่งจะพบว่า เกิดความลักลั่นขัดแย้งในการตอบโต้ของชาวม้งด้วย
ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม จากความจำทางสังคม
จากความทรงจำทางสังคมของชาวม้งที่คนแก่คนเฒ่าไม่สามารถถ่ายทอดต่อลูกหลานของตนได้สำเร็จ
ทำให้คนม้งรุ่นเก่ากับม้งรุ่นใหม่ในชุมชนม้งบ้านแทนธรรมมีความทรงจำเกี่ยวกับฝิ่นแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างภาพความทรงจำของคนม้งรุ่งเก่าที่โหยหาชีวิตอันสมบูรณ์ที่พึงได้รับจากฝิ่นและการเลือกดำเนินชีวิตได้อย่างไม่เดือดร้อน กับภาพความทรงจำของชาวม้งรุ่นใหม่ที่พยายามปฏิเสธและหนีไปจากฝิ่น เพราะฝิ่นคือภาพยาเสพติดที่น่ารังเกียจโดยมีอัตลักษณ์ชาวม้งถูกผูกติดเอาไว้อย่างแน่นหนา
โดยในชุมชนม้งบ้านแทนธรรม คนแก่คนเฒ่าวัยมากกว่า 40 ปีขึ้นไป มักเล่าขานกันถึงตำนานความเชื่อเรื่อง
ดินแดนผี
เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านี้ให้กับลูกหลานโดยเปรียบเปรยดินแดนผีเชื่อมโยงกับความไม่สมบูรณ์
มีความเดือดร้อนและความทุกข์อยู่ในใจไม่สามารถดำเนินชีวิติปกติได้ แต่เรื่องการถ่ายทอดเรื่องเล่าผ่านกระบวนการเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและการสร้างความทรงจำร่วมของชุมชนจึงสะดุดหยุดลงไม่อาจสืบทอดและสร้างความทรงจำร่วมผ่านตำนานความเชื่อได้เป็นผลสำเร็จ จะพบว่าชาวม้งรุ่นใหม่บ้านแทนธรรมเข้าใจความหมายที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับฝิ่นเหมือนดังกลุ่มคนสูงวัยสื่อสาร
ในปัจจุบันชาวม้งคนรุ่นใหม่ที่ไปเรียนหนังสือในเมือง เมื่อกลับถึงบ้านมักพูดว่า “คนติดยาฝิ่น เป็นไม่ดี” หรือ
“หมอยาปลูกฝิ่นแล้วบอกว่าเป็นยา ก็เพราะว่าพวกเขาติดฝิ่นมากกว่า
แต่หาข้ออ้างว่าใช้เป็นยาตามความรู้พื้นบ้านดั้งเดิม” คนรุ่นใหม่ยังพิพากษ์วิจารณ์ว่า
หากนำเงินที่ซื้อฝิ่นไปให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือหรือซื้อเครื่องเขียนยังดีกว่าจ่ายเงินซื้อฝิ่น
ขณะที่คนสูงวัยกลับอธิบายมิติที่แตกต่างออกไปโดยยังยึดโยงตัวเองอยู่กับภาพความอุดมสมบูรณ์และชีวิตมั่งคั่งจากไร่ฝิ่น
อาจสรุปได้ว่า
เงื่อนไขสำคัญของชาวม้งในการตอบโต้ต่อการกักขังอัตลักษณ์ชาวม้งคือ
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างอำนาจเชิงสัญลักษณ์ในฐานะโครงสร้างที่รัฐสถาปนาอำนาจของตนผ่านระบบการศึกษา
เศรษฐกิจ การเมือง ลงสู่ระดับจิตสำนึกของคนทั่วไปและโดยเฉพาะชาวม้งกับชาวม้งในฐานะ
agency
ที่มีความแตกต่างหลากหลายจากประสบการณ์การเรียนรู้ รุ่น
วัย อย่างเช่น ชาวม้งในแต่ละรุ่นแต่ละวัยระหว่างผู้ใหญ่กับชาวม้งวัยเด็กและรุ่นใหม่
ต่างนิยามอัตลักษณ์และความเป็นตัวต่อตนต่อการกักขังอัตลักษณ์ด้ายภาพลักษณ์ฝิ่นแตกต่างกันไป
ขึ้นอยู่กับประสบการณ์การเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันด้วย
กรณีศึกษาที่
2 :
ชนเผ่าอาข่า กับภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างให้สกปรก ล้าหลัง
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานี้ หากใครไปมีโอกาสไปเยือนที่เชียงใหม่และไปเดินซื้อของฝากบริเวณย่านไนท์บาร์ซาร์กลางเมืองเชียงใหม่ ก็จะพบภาพของผู้ค้าขายกลุ่มหนึ่งที่แบกสินค้ามาเพื่อเสนอขายให้แก่นักท่องเที่ยวในบริเวณนี้และบริเวณใกล้เคียง
ผู้ค้าขายกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงบางคนนำเด็กเล็กแบกไว้บนหลังมัดด้วยผ้าเดินเร่ขายสินค้าไปด้วย
คนไทยโดยทั่วไปอาจเข้าใจว่ากลุ่มผู้หญิงเหล่านี้เป็น “ชาวเขา” หรือบางคนก็เรียกว่า
“พวกแม้วพวกยาง” ซึ่งหมายถึง “ชาวเขา” ตามความเข้าใจของผู้เรียกนั้นเอง โดยส่วนใหญ่ในความคิดของคนไทยเมื่อนึกถึง
“ชาวเขา” หลายคนมักจะนึกได้อย่างทันทีทันใดถึงภาพลักษณ์ของคนที่สกปรก คนจน คนยากไร้
น่าเห็นใจ
ไม่มีการศึกษาหรือมีการศึกษาน้อย
มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ขาดคุณภาพ
มักจะพัวพันกับการปลูก-เสพ-ค้ายาเสพติด
ตัดไม้ทำลายป่า
ทำลายสิ่งแวดล้อมและแหล่งต้นน้ำลำธาร เป็นคนอื่นที่เข้ามาอาศัยในดินแดนไทยและอาจเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
การที่สังคมไทยมีภาพลักษณ์ต่อชาวเขาเป็นแบบพิมพ์เดียวกันเช่นนี้
นับว่าเป็นผลของการผลิตหรือหล่อหลอมความคิดชุดหนึ่งเพื่อนำไปใช้มอง
วิเคราะห์ จัดการกับสิ่งหนึ่งด้วยเครื่องมือที่นักวิชาการเรียกว่า
“วาทกรรม” วาทกรรมเป็นมากกว่าเรื่องของภาษาหรือคำพูด
แต่เป็นสิ่งหล่อหลอมความรู้และเกี่ยวข้องกับอำนาจหรือภาคปฏิบัติการจริงของวาทกรรม
เป็นสิ่งที่สร้างป้ายหรือฉลากในการจัดประเภทต่างๆ
เพื่อทำให้ความคิดความเชื่อหรือทัศนคติในเรื่องใดเรื่องหนึ่งของคนในองค์กรหรือสถาบันเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา
เป็นตัวส่งผลต่อการสร้างหรือกำหนดอุดมการณ์ของคนในประเทศ และเมื่อไม่มีความเข้าใจในวิถีชีวิตของชาวเขา
ก็มองว่าวิถีชิตของพวกเขานั้นล้าหลัง
เป็นปัญหาและเป็นอันตรายต่อระบบโดยรวมของประเทศ ทำให้นโยบายของรัฐบาลส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาความแตกต่างทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมมากมายเพื่ทำให้
“ชาวเขา” ซึ่งเป็นพวก “คนอื่น” ให้กลายเป็น “คนไทย” โดยนโยบายที่ใช้ในการ “กลืนกลายทางชาติพันธุ์”
ภาพลักษณ์ของความ “สกปรก และล้าหลัง”
คำว่า
“ชาวเขา” เริ่มเป็นสัญลักษณ์ของความ “สกปรกและล้าหลัง”
ตั้งแต่เมื่อไหร่นั้นมีหลักฐานไม่ค่อยชัดเจน เนื่องจากพัฒนาการทางสังคมและวัฒนธรรมของคนต่างกลุ่มต่างวัฒนธรรมที่มีความสัมพันธ์ร่วมกันมา
ได้สั่งสมทัศนคติ ความคิดความเชื่อ
และปรับเปลี่ยนไปตามกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ผ่านพิธีกรรม ตำนาน และเรื่องเล่าถ่ายทอดกันเป็นเวลานาน อย่างไรก็ตามภาพลักษณ์หลายอย่างที่เกี่ยวกับชาวเขาเกิดขึ้นจากกลุ่มอื่นที่ชาวเขามีปฏิสัมพันธ์ด้วย
คนไทยพื้นราบในภาคเหนือเป็นกลุ่มคนที่ชาวเขาต้องติดต่อและมีความสัมพันธ์ร่วมกันเป็นเวลานาน
แม้ว่าจะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันแต่ก็ไม่มีกรณีบาดหมางกันรุนแรง แต่ “คนเมือง”
ก็มักจะมีมุมมองและทัศนะด้านลบของต่อ “ชาวเขา” ด้วยเช่นกัน
ดังตัวอย่างบทความต่อไปนี้
“คำว่า ‘แม้ว’ในสายตาของคนเมือง ไม่ว่าจะเป็นม้ง อาข่า
หรือลู่
คนเมืองมักมองรวมกันเป็น
‘แม้ว’ หมด ซึ่ง ‘แม้ว’ ก็ถูกมองว่าด้อยวัฒนธรรม
ทางการแต่งกายและสุขอนามัย คนเมืองจะประณามคนที่ไม่ค่อยชอบอาบน้ำ
ไม่ซักเสื้อผ้า และกินเนื้อสุนัขว่า ‘แม้ว’ กลายเป็นสัญลักษณ์ของความสกปรก”
(ที่มา : ข้อเขียนของนายสมชาย วิริจินดา)
ในยุคของการสร้างรัฐชาติที่รัฐไทยส่วนกลางต้องผนวกและสร้างความเข้มแข็งให้เกิดขึ้นในบริเวณชายขอบของประเทศ
การติดต่อสื่อสารโดยตรงกับ “ชาวเขา”
หลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ที่กระจายอยู่บนพื้นที่สูงเป็นสิ่งที่ทำยาก แต่การรับข้อมูลจาก “คนเมือง” ในท้องถิ่น
กระทำได้ง่ายกว่า ดังนั้นทัศนคติและภาพลักษณ์บางประการที่ “คนเมือง” มีต่อ
“ชาวเขา” จึงถ่ายทอดสู่รัฐไทยส่วนกลางและหล่อหลอมเป็นภาพลักษณ์พื้นฐานในการทำความเข้าใจกลุ่มชนบทพื้นที่สูงที่เรียกว่า
“ชาวเขา” แล้วจึงถ่ายทอดสู่สังคมไทยต่อไป ในกรณีของ “ชาวอาข่า” กระบวนการสร้างภาพตัวแทนเพื่อสะท้อนถึงการให้คำนิยมภาพลักษณ์
“ความสกปรก และล้าหลัง” ที่ชัดเจนอีกกรณีหนึ่ง เกิดขึ้นทางสื่อโทรทัศน์ในละครเรื่องแก้วกลางดง
มีบทบาทที่ชวนหัวในเรื่องพยายามนำเสนอว่าคนไทยมี “ภาพตัวแทน”
เกี่ยวกับชาวเขาอย่างไรบ้าง เช่น การพูดไม่ชัด
ความเงอะงะเชยๆ และการไม่อาบน้ำดูจะเป็น “สัญลักษณ์”
อย่างหนึ่งของความเป็นชาวเขา อย่างไรก็ตาม
เพื่อเอาอกเอาใจคนดูชนชั้นกลางที่เป็นผู้หญิงจึงต้องใส่คุณสมบัติของความมั่นอกมั่นใจแบบสาวสมัยใหม่ให้กับนางเอกชาวอาข่าในเรื่องด้วย
ละครจึงไม่สนใจความเป็นจริงทางประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรม เพราะการสร้างภาพตัวแทนนั้น สิ่งที่สำคัญคือ
การสร้างภาพจินตภาพที่ไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความจริง
แม้ว่าสื่อจากโทรทัศน์เป็นสื่อบันเทิงที่ไม่เน้นสาระก็ตาม
แต่การที่ผู้เขียนบทละครไม่ใส่ใจในความถูกต้องต่อรายละเอียดและวัฒนธรรม ก็จะถือว่าเป็นการไม่ได้เกียรติแก่เจ้าของวัฒนธรรมแล้ว
ยังเป็นการดูหมิ่นสติปัญญาของผู้ชมซึ่งถือเป็นลูกค้าสำคัญของตนอีกด้วย
กรณีที่คล้ายคลึงกันนี้ก็เกิดขึ้นกับกรสร้างละครหรือภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง
เช่น ภาพยนตร์เรื่องบางระจัน ที่ประเทศไทยเป็นผู้สร้าง และมีเนื้อหาบางตอนสะท้อนภาพลักษณ์ชาวพม่าในด้านลบ
จนเกิดกรณีบาดหมางกันขึ้นระหว่างประเทศไทยและประเทศพม่า เป็นต้น
ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าของวัฒนธรรมจะให้ความสนใจในความถูกต้องว่าจะไม่ทำให้ภาพลักษณ์ของตนเสียหาย ในกรณีของอาข่าในเรื่อง กิ่งแก้วกลางดง
ทำให้เกิดการเรียกร้องปกป้องภาพลักษณ์ของตนโดยติดต่อกับผู้สร้างละคร
ขอร้องให้ผู้จัดเปลี่ยนแปลงและแก้ไขบทละครให้สอดคล้องกับวัฒนธรรมที่เป็นจริง
ซึ่งสิ่งที่อาข่าเรียกร้องมีอยู่ 2 ประเด็นที่สำคัญคือ ประเด็นแรก
การสร้างภาพลักษณ์ที่ “สกปรก” และ “ล้าหลัง” ประเด็นที่สอง
การนำเสนอรายละเอียดของวัฒนธรรมที่ผิดเพี้ยนไป
การต่อสู้ของชาวอาข่าต่อการสร้างภาพลักษณ์ที่
“สกปรก และล้าหลัง”
จากอดีตจวบจนถึงปัจจุบัน
กลุ่มชาติพันธ์อาข่าในประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์และพยายามปรับตัวเพื่อที่จะอยู่ร่วมกับคนกลุ่มอื่นๆ
ในสังคมไทยมาโดยตลอด แม้ว่าสังคมไทยจะมีภาพลักษณ์ตัวแทนต่อชาวอาข่าเป็น
ความสกปรก ความล้าหลัง ที่ยังคงถูกถ่ายทอดผ่าสื่อในลักษณะต่างๆ ก็ตาม ขณะที่ชาวอาข่าในชุมชนบนพื้นที่สูงส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับภาวะสูญเสียลักษณะทางวัฒนธรรมและตัวตนทางชาติพันธุ์ไปในช่วงเวลาของการพัฒนาที่สูงที่ผ่านมา
แต่ในอีกด้านหนึ่งชาวอาข่าก็พบว่าสังคมไทยเปิดพื้นที่เล็กๆ
ให้พวกเขายืนอยู่ในฐานะผู้ “ดึงดูดใจ” นักท่องเที่ยว ชาวอาข่าบางกลุ่มที่ทางเลือกในการดำรงชีพน้อย จึงเลือกที่จะสวมทับภาพลักษณ์ของ “ความสกปรก
ล้าหลัง แต่ดึงดูดใจ” ที่สังคมไทยผลิตให้
เพื่อแสดงตัวตนทางชาติพันธุ์บนถนนสายท่องเที่ยวกลางเมืองเชียงใหม่ ขณะที่ชาวอาข่าบางกลุ่มที่มีทางเลือกมากกว่า
เลือกที่จะปฏิเสธและต่อสู้เพื่อแก้ไขภาพลักษณ์ที่ไม่ถูกต้อง ชาวอาข่าสถานะของผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย พยายามดินรนหาทางเลือกเพื่อจะปรับตัวเข้ากับสังคมไทย บางครั้งเลือกที่จะคล้อยตาม
บางครั้งเลือกที่จะขัดขืนแล้วแต่ว่าจะเป็นเวลาและสถานที่ใด
แต่สิ่งที่ยังดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างยากที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ก็คือ
ทัศนะที่เป็นอคติทางชาติพันธุ์
ที่ทำให้สังคมไทยขาดโอกาสที่จะเข้าไปรู้จักกับความหลากหลายทางชาติพันธุ์และวัฒนธรรมที่ถูกต้องดีงามและมีคุณค่า
แต่กลับกลายเป็นผู้ทำลายความหลากหลายนั้นเสียเองโดยไม่รู้ตัว
วิพากษ์บทความเรื่อง “สิทธิของคนชายขอบ”
ในปัจจุบันประเทศส่วนใหญ่มิได้ประกอบด้วยคนชนชาติเดียว หากมีหลายชนชาติ
หลายเชื้อชาติในอดีตอันยาวนานจะมีการแบ่งแยกประชากรเป็นพลเมือง
คนต่างด้าวเป็นชนชาติส่วนใหญ่
ชาชาติส่วนน้อย
โดยชนชาติส่วนใหญ่เป็นพลเมืองมีสิทธิต่างๆ ชนส่วนน้อย คนต่างด้าว
ไม่มีสิทธิอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ปัจจุบันรัฐและสังคมโดยเฉพาะประเทศประชาธิปไตยยอมรับสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน คนภายในประเทศต่างๆ จึงมสิทธิมากขึ้นอย่างในประเทศไทย กลุ่มชาติพันธที่อยู่บนพื้นที่สูงที่เรียกว่า
ชาวไทยภูเขา เช่น ปกาเกอะญอ ม้ง เมี่ยน อาข่า ลีซู
ลัวะ ฯลฯ มีสิทธิพลเมืองสิทธิทางการเมืองสิทธิทางการเมืองมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังเป็นกลุ่มที่ด้อยโอกาสมากที่สุดกลุ่มหนึ่งในการเข้าถึงและใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ
สิทธิกฎหมาย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบันได้รับรองและค้ำประกันสิทธิบุคคลซึ่งหมายรวมถึงสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ด้วยหลายมาตราโดยเฉพาะมาตรา
4
การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของบุคคล มาตรา
30 ว่าด้วยความเสมอภาคและห้ามเลือกปฏิบัติและมาตรา 46
สิทธิชุมชนดั้งเดิมในการอยู่กับป่า
รักษาป่า ฯลฯ
ชาวไทยภูเขาจำนวนมากอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยมายาวนานหลายชั่วอายุคนแต่ก็อพยพเข้ามา
ทั้งเข้ามานานแล้วและพึ่งอพยพเข้ามาหลายชั่วอายุคน แต่ก็อพยพเข้ามาทั้งเข้ามานานแล้วและพึ่งอพยพเข้ามาจากการสำรวจชาวไทยภูเขาครั้งตั้งแต่
พ.ศ. 2512 – 2542 มีจำนวนรวม
1,033,931 คน แต่ได้สัญชาติไทยจำนวน 235,025
คน
ยังมีชาวไทยภูเขาส่วนใหญ่ไม่รู้และไม่เห็นความจำเป็นของการมีเอกสารราชการไม่ว่าจะเป็นบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน
จึงมีอยู่มากที่ไม่มีเอกสารใดๆ เลยที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นคนไทยหรือไม่
ต่อมา เมื่อสังคมมีความซับซ้อน
เอกสารราชการมีความสำคัญยิ่งต่อการดำรงชีวิต เอกสารจึงเริ่มมีความสำคัญต่อชาวไทยภูเขามากปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือชาวไทยภูเขาจำนวนมากไม่มีเอกสารใดๆ ไปพิสูจน์ให้ราชการเชื่อได้ว่าเป็นคนไทย
สิ่งที่มีก็คือพยานบุคคลแต่ก็เป็นหลักฐานที่ราชการไม่ให้น้ำหนักมากนัก
ชาวไทยภูเขาก็เลยถูกมองว่าเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายที่พร้อมจะถูกผลักดันให้ออกจากประเทศไทยได้เสมอถ้าไม่มีมติคณะรัฐมนตรีผ่อนผันให้อาศัยอยู่ได้ปีต่อปี ปัญหาที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ
ราชการจำแนกแยกแยะได้ลำบากว่าเป็นชาวเขาที่เกิดในประเทศไทย
หรือเข้ามาในประเทศไทยนานแล้ว
หรือเพิ่งอพยพเข้ามาก็เลยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ประกอบกับปัญหาการคอร์รัปชั่นของราชการ ของชาวเขาที่เพิ่งอพยพเข้ามาโดยจ่ายเงินเพื่อซื้อบัตรประชาชนยิ่งทำให้ปัญหา
พัวพันกันจนแก้ไขได้ยากลำบากเข้าไปอีก
การที่ชาวไทยภูเขาไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน
ไม่มีเอกสารราชการ
ก็เลยเข้าไม่ถึงสิทธิอีกหลายสิบประการไม่ว่าจะเป็นสิทธิทางการศึกษาเล่าเรียน
สิทธิด้านสาธารณสุขในการรักษาเมื่อเจ็บป่วย สิทธิในการทำงานเพื่อยังชีพ สิทธิในการเลือกตั้ง สิทธิในการอาศัยอยู่ในประเทศ เสรีภาพในการเดินทาง สิทธิในการทำนิติกรรมต่างๆ
ชาวไทยภูเขาประสบปัญหาสิทธิทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมา แล้วจะดำรงชีวิตเหมือนคนทั่วไปได้อย่างไร
ทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาของชาวไทยภูเขา
การแก้ปัญหากระทำได้หลายๆ
วิธี
จากสภาพปัญหาที่กล่าวมาคือชาวไทยภูเขาไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน และจำแนกแยกแยะไม่ออกว่าใครเป็นใคร อยู่กลุ่มใด
เข้ามาในประเทศไทยนานแล้วหรือไม่
ทำให้เกิดปัญหาด้านสิทธิด้านต่างๆ
มากมาย
ประกอบกับกฎหมายประเทศไทย อาทิ
พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง
ให้สันนิฐานในทางออกเพื่อแก้ปัญหาชาวไทยภูเขา
ที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการสำรวจบุคคลตกหล่นเพื่อแก้ปัญหาต่อไป และจะได้กำหนดสถานะได้ถูกต้องว่าพวกเขาควรมีสถานะใดเป็นคนไทย หรือเป็นคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายแต่ได้สิทธิอาศัยในแผ่นดินไทยต่อไปหรือคนต่างด้าวที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เมื่อจำแนกแยกแยะได้แล้วว่าใครเป็นใคร ชาวไทยภูเขาก็มีสิทธิต่างๆ ตามทั้งเรื่องการเล่าเรียน การรักษาเมื่อเจ็บป่วย การเดินทาง
การอยู่อาศัย การเลือกตั้ง ฯลฯ
แต่สำหรับในช่วงรอยต่อที่ยังไม่สามารถจำแนกแยกแยะหรือกำหนดสถานะบุคคลได้ก็ต้องมีมาตรการรองรับ โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ได้ตั้งคณะอนุกรรมการเพื่อศึกษาปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งได้จัดประชุมเมื่อวันที่ 5 ตุลาคม
2545 เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ความคิดเห็นเพื่อทำหลักเกณฑ์ในการสำรวจคนตกหล่นและการเอื้อให้ชาวไทยภูเขามีสิทธิด้านต่างๆ ในช่วงรอยต่อเพื่อนำเสนอบริหารต่อไป
สิ่งสำคัญมากที่ทำให้ปัญหาของชาวไทยภูเขาไม่ได้รับการคลี่คลายก็คือทัศนคติ
ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของภาครัฐหรือแม้แต่ภาคเอกชนก็ตามที่มองอย่างเหมารวมว่าชาวไทยภูเขาเป็นพวกที่อพยพมาจากต่างประเทศไม่ได้มีการจำแนกแยกแยะว่ามีทั้งที่เป็นชาวไทยภูเขาอยู่ติดแผ่นดินมาตั้งแต่เกิดหรืออพยพเข้ามาอาศัยในแผ่นดินไทย ทัศนคติเช่นที่ว่ามา ทำให้ปัญหาของชาวไทยภูเขายังดำรงอยู่ และการแก้ไขปัญหาไม่ถูกจุด ภาครัฐไปเน้นน้ำหนักที่การปราบการคอร์รัปชั่น
จึงจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลร่วมกันระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างจริงจัง
เพื่อปรับทัศนคติและสร้างความเข้าใจต่อชาวไทยภูเขามากขึ้นต่อไป
ขอบคุณครับน่าสนใจมาก ผมมาเป็นอาสาสมัคร
ตอบลบกำลังศึกษาเรื่องเด็กชาบขอบครับ