บทความวิชาการ
เรื่อง “ปัญหาสิทธิสตรีในสังคมไทย”
ปฏิญญาสากลว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชน
และปฏิญญาสหประชาชาติชนบทที่ว่าด้วยการขจัดการดูถูก กดขี่และกีดกันหญิง
แสดงให้เห็นประจักษ์ว่า
มนุษย์ทุกคนนั้นเกิดมามีความเป็นอิสรเสรีและเสมอภาคกันในเกียรติศักดิ์และสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นเพศใด
ดังมีข้อความตอนหนึ่งของกฎบัตรสหประชาชาติที่แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาร่วมกันในอันที่จะส่งเสริมเสมอภาคในสิทธิของบุรุษและสตรีว่า
“เราบรรดาประชาชนแห่งสหประชาชาติได้ตั้งเจจำนง...ที่จะยืนยันความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนอันเป็นหลักมูลให้เกียรติศักดิ์และคุณค่าของมนุษย์บุคคล
ในสิทธิอันเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรีของประชาชาติใหญ่น้อย
หลักเกณฑ์ที่ยืนยันไว้ในกฎบัตรถึงความเชื่อมั่นในสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันระหว่างชายหญิงเช่นนี้
แต่สตรีเคยมีสิทธิอันชอบธรรมซึ่งมีผลทำให้สภาพของสตรีมีความมั่นคงทัดเทียมกับบุรุษทั้งในด้านการดำรงชีพของตน
และการอยู่ร่วมในสังคมหรือไม่
เนื่องจากมีคำกล่าวถึงคตินิยมของสตรีโดยทั่วไปแต่เดิมมานั้นว่า
เมื่อน้อยอยู่ในความปกครองของบิดามารดา
เมื่อออกเรือนสมรสแล้วอยู่ในความปกครองของสามี
และเมื่อชราภาพอยู่ในความดูแลของบุตร ซึ่งจะเห็นได้ว่าสตรีนั้นไม่มีอิสรภาพเป็นของตัวเองโดยสมบูรณ์เลยตลอดอายุขัย
นอกจากนี้ยังมีความเปรียบเทียบไปในทำนองกังวลอีกว่า
“ลูกผู้หญิงซึ่งมีอายุควรไม่มีคู่ย่อมเป็นเช่นก้อนอุบาทว์อยู่เหนือหลังคาบ้าน”
ข้อความเหล่านี้ทำให้บังเกิดข้อคิดเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับ สิทธิมนุษยชนอันชอบธรรมของสตรีแต่ดั้งเดิมมามีอยู่บ้างหรือไม่
ถ้ามีอยู่ในลักษณะสภาพอย่างไร
และเพราะเหตุใดจึงมีคตินิยมหรือข้อความที่เป็นทำนองเหยียดคุณค่าของสตรี
ปัญหาเหล่านี้ถ้าพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ
ตลอดจนแนวพฤติกรรมที่ปรากฏทั้งในด้านพฤตินัยและนิตินัยแล้ว ก็จะทราบว่าสตรีมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี
หรือด้อยกว่า หรือเสมอภาคกับบุรุษในเรื่องใดบ้าง
สถานภาพของสตรีไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย
สตรีไทยมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกับบุรุษหรืออาจจะมากกว่าในบางประการ
มีการปรากฏหลักฐานในหลักศิลาจารึกตลอดจนใน “มังรายศาสตร์”
ซึ่งเป็นกฎหมายที่พระเจ้าเม็งรายกษัตริย์ไทยผู้ทรงนครเชียงใหม่และเป็นกษัตริย์ในสมัยเดียวกับพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ได้ทรงบัญญัติไว้ ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาฐานะของสตรีโดยทั่วไป
ในด้านพฤตินัยไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยสุโขทัยมากนัก หลักฐานในวรรณคดีหลายฉบับ
กล่าวถึงสตรีว่ามีบทบาทในสังคมหลายด้าน และมีสิทธิเสรีภาพมาก เช่น
ปรากฏในลิลิตพระลอ กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ โครงนิราศ
ตลอดจนกลอนเพลงยาวและเพลงชาวบ้านต่างๆ เกิดขึ้น เช่น พระไอยการลักษณะผัวเมียก็ดี
พระไอยการลักษณะมรดกก็ดี ต่างมีบทบัญญัติจำกัดสิทธิสตรีให้ลดน้อยลง ตลอดจนสร้างค่านิยมให้สตรียึดถือปฏิบัติอยู่ในกรอบจารีประเพณีโดยเคร่งครัด
ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากพระมหากษัตริย์ในสมัยนั้นต้องการสร้างความเป็นปึกแผ่นมั่นคงให้แก่ชาติไทยโดยเฉพาะสภาพความเป็นอยู่ในครอบครัว
ประกอบกับมีต่างชาติมาเจริญสัมพันธไมตรีติดต่อกับชาติไทยอยู่เสมออาจมีข้อหวั่นแกรงว่าชนในชาติจะละทิ้งวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามแต่เดิมเสีย
จึงตราพระราชบัญญัติเพิ่มขึ้นอีก เช่น มีการตราพระราชบัญญัติห้ามสตรีไทยเสพเมถุนกับชาวต่างประเทศ
เป็นต้น
อย่างไรก็ดี
แม้ว่าสตรีจะไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษในด้านนิตินัยก็ตาม แต่ในด้านพฤตินัยสตรีไทย
มีบทบาทเท่าเทียมกับบุรุษหรืออาจจะมากกว่าในบ้างกรณี
ดังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุของชาวต่างประเทศหลายคนที่เข้ามาพำนักในสมัยนั้น เช่น
เมอร์สิเออร์ เดอลาลูแบร์ แชรเวส
และนอกจากนี้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็ยังมีบันทึกไว้เกี่ยวกับการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับบุรุษในสงครามสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
จากหลักฐานที่ปรากฏนี้แสดงให้เห็นว่าสตรีไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยามีฐานะความเป็นอยู่ได้ด้อยกว่าสตรีชาติอื่นๆ
ดังกล่าวแล้ว
ต่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี
เป็นช่วงของการทำศึกสงคราม ฐานะของสตรีไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
จนกระทั่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี
แม้บ้านเมืองจะยังไม่สงบจากศึกสงครามรอบด้าน แต่ก็นับว่ามีการรบเบาบางลงกว่าเดิม
กล่าวได้ว่า สถานภาพความเป็นอยู่ของสตรีในระยะนั้นยังคงมีบทบาทในการปกครองอยู่บ้าง
เช่น ในเรื่องท้าวเทพสตรี ท้าวศรีสุนทร แต่ส่วนใหญ่มีสภาวะตามแบบเดิม
กล่าวคือในทางนิตินัย
พระบาทสมเด็จพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้ทรงนำกฎหมายเก่าครั้งกรุงศรีอยุธยาที่เหลือกระจัดกระจายอยู่เพียง
1 ใน 10 นั้นมารงบรวมและโปรดให้ชำระขึ้นใหม่
พร้อมทั้งได้ทรงตราพระราชกำหนดเพิ่มเติมขึ้นอีก
และโปรดให้ใช้กฎหมายที่ทรงชำระแล้วนี้เป็นกฎหมายสำหรับแผ่นดินสืบไป ฉะนั้น
สิทธิของสตรีในทางกฎหมายจึงด้อยกว่าบุรุษแต่ในด้านพฤตินัยยังคงทัดเทียมหรือมากกว่าบุรุษอยู่ในกรณี
แม้ในสมัยรัชกาที่ 2 และที่ 3
ก็กล่าวว่าสถานภาพของสตรียังไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากนัก
เป็นต้นว่าสตรียังถูกบุรุษนำไปขายได้หรือโอกาสในการศึกษาก็ไม่มีอย่างกว้างขวาง
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่
4
ซึ่งนับเป็นสมัยแรงแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่ไทยได้ทำสัญญาการค้ากับประเทศในยุโรป
วัฒนธรรมตะวันตกก็ได้เริ่มแพร่เข้าสู่ประเทศไทยด้วยอีกวาระหนึ่ง สตรีไทยบางคนในสมัยนี้จึงมีโอกาสเรียนรู้วิชาหนังสือและขนบธรรมเนียมราชการเช่นเดียวกับชาย
นอกจากนี้ก็มีสตรีมิชชันนารี คือ
นางบรัดเลย์ แมททูน และนางโยน์ส ตลอดจนนางแอนนา เลียวโนเวนส์
มาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษให้แก่สตรีไทยในวังหลวง และแม้นอกเมืองหลวงในปี พ.ศ.2408 ก็มรการตั้งโรงเรียนสำหรับฝึกการฝีมือให้แก่สตรีและเด็กอีกด้วย
นับว่าสตรีในนี้มีฐานะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนบ้าง ในทางกฎหมาย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ
ก็ทรงโปรดให้ยกเลิกบทบัญญัติเรื่องผัวขายเมีย พ่อแม่ขายบุตรเสีย
เนื่องจากทรงเห็นว่าไม่ให้ความยุติธรรมแก่สตรี
ในสมัยรัชกาลที่
5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงดำเนินตามพระราชบิดา กล่าวคือได้ทำนุบำรุงการศึกษาของสตรีให้เป็นปึกแผ่น
ทรงสร้างโรงเรียนสำหรับกุลสตรีขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2423 โดยรับบุตรหลานของเจ้านายเข้าเรียน
และในปี พ.ศ.2444 ก็โปรดฯ ให้ตั้งโรงเรียนสำหรับสตรีซึ่งเป็นบุตรหลานของราษฎรสามัญขึ้นอีก
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสตรีไทยเริ่มมีสิทธิในด้านการศึกษาอบรมได้ใกล้เคียงกับชาย
การที่ทรงวางรากฐานสร้างสถานภาพสตรีให้ดีขึ้นด้วยวิธีการให้การศึกษาแก่สตรี
อันเป็นเรื่องสำคัญนี้นับได้ว่าเป็นพื้นฐานในเรื่องสิทธิและหน้าที่ของสตรีในสังคมในเวลาต่อมา
ในสมัยรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมอย่างที่ล้าสมัยเสีย
เพื่อเปิดโอกาสให้สตรีมีบทบาทในทางสังคมมากยิ่งขึ้น
ทรงนำแบบวัฒนธรรมตะวันตกบางประการมาใช้ในการปรับปรุงประเทศ
ส่วนในด้านการยกฐานะสตรีไทย พระองค์ทรงสนับสนุนทั้งในด้านการศึกษาการสังคม
และนอกจากนี้ในทางกฎหมายพระองค์ก็ทรงพระราชดำริที่จะให้ยึดถือแบบ “ผัวเดียวเมียเดียว” แบบวัฒนธรรมยุโรป
ในปัจจุบันนี้
สตรีไทยได้รับสิทธิเท่าเทียมกับบุรุษในเกือบทุกด้าน เป็นต้น ว่าด้านการเมือง
สังคมการศึกษา ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า เรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิความเสมอภาคกับบุรุษนั้น
สตรีไทยมีความก้าวหน้ายิ่งกว่าสตรีชาติอื่นๆ อีกหลายชาติ แต่อย่างไรก็ดี
ยังคงมีเกณฑ์ตลอดจนบทบัญญัติบางประการในกฎหมายที่จำกัดสิทธิสตรีอยู่อีก
มีได้รับการพิจารณาแก้ไขให้สอดคล้องกับสภาพของเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งได้วิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงไป
จากสิ่งที่กล่าวไปข้าต้นทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงบทบาทและสถานภาพของสตรีในประวัติศาสตร์
ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงรัชกาลที่ 6 จนมาเมื่อเปลี่ยนผ่านสังคมในช่วงยุคปัจจุบัน
สตรีมีสิทธิและเสรีภาพในด้านต่างๆที่ดูเหมือนจะเท่าเทียมกับบุรุษเพศ
แต่แท้ที่จริงแล้วสตรีได้รับสิทธิที่เป็นอิสระอย่างแท้จริงหรือ
สิทธิ หมายถึง
สิ่งที่ไม่มีรูปร่างซึ่งมีอยู่ในตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิดหรือเกิดขึ้นโดยกฎหมาย
เพื่อให้มนุษย์ได้รับประโยชน์ และมนุษย์จะเป็นผู้เลือกใช้สิ่งนั้นเอง
โดยไม่มีผู้ใดบังคับได้ เช่น สิทธิในการกิน การนอน แต่สิทธิบางอย่างมนุษย์ได้รับโดยกฎหมายกำหนดให้มี
เช่น สิทธิในการมี การใช้ทรัพย์สิน
สิทธิในการร้องทุกข์เมื่อตนถูกกระทำละเมิดกฎหมาย เป็นต้น
สิทธิสตรี คือ
สิทธิขั้นพื้นฐานส่วนหนึ่งของพลเมืองของชาติที่หากไม่ถูกลิดรอนก็คงจะไม่มีการเรียกร้อง
สภาพการณ์ที่เป็นความจริงทางสังคม
สะท้อนให้เห็นมาโดยตลอดถึงความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชายในโอกาส สิทธิ
และเสรีภาพในด้านต่างๆ ตั้งแต่ครอบครัว การทำงาน และแม้กระทั่งการศึกษา
ทำให้เกิดคำถามว่า ความเท่าเทียมกันในสิทธิและเสรีภาพนั้นเกิดขึ้นจากอะไร
ชีวิตของชนในสังคมนั้น
จะอยู่ภายใต้กฎหมายที่สำคัญคือรัฐธรรมนูญ
อันเป็นกฎหมายหลักสูงสุดที่บ่งบอกแนวและวิถีทางของการอยู่ร่วมกัน
ตลอดจนความสัมพันธ์ของประชาชนในชาติ
โดยแยกเป็นหมวดเป็นมาตราต่างๆในประเทศไทยตั้งแต่สมัยอดีตเรื่อยมาสถานภาพของสตรีไทย
ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม สตรีมักถูกมองเป็นสิ่งที่ด้อยคุณค่า ไร้ความสามารถ
ถูกกดขี่ ข่มเหง และกีดกัน ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมือง ไม่มีสิทธิ บทบาท
ฐานะใดในทางสังคม ไม่ได้รับความเสมอภาคเท่าเทียมผู้ชาย
ทั้งที่สตรีเองก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกันกับผู้ชาย และซึ่งสถานภาพความเป็นมนุษย์นั้นมีอยู่ในตัวของมนุษย์ทุกคน
โดยไม่คำนึงถึง เพศ วัย สัญชาติ ศาสนา
ทั้งยังเป็นสาระสำคัญตามธรรมชาติความเป็นมนุษย์ ที่ไม่อาจพราก หรือ
ทำให้สูญเสียไปด้วยวิธีการใดๆ การไม่เคารพในสิทธิสตรี
ตลอดจนการเลือกปฏิบัติต่อผู้เป็นสตรีนั้นแต่เดิมอาจเป็นเพราะสภาพสังคมสมัย
โบราณที่มีการถือปฏิบัติสืบต่อกันมาโดยที่ผู้ชายจะมีความรับผิดชอบในฐานะที่
เป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บทบาทของสตรีลดลง
ในปัจจุบันนั้นสตรีเองก็ได้รับการศึกษาขั้นสูง มีความสามารถ และ
มีบทบาทสำคัญอย่างมากทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และ การเมืองทำให้สิทธิสตรีได้รับการพัฒนา
ยอมรับ และคุ้มครองในด้านต่างๆมากมายหลายด้านตามมา
ปัจจุบัน
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2540 อันเป็นบทกฎหมายหลักสูงสุดของประเทศ
ได้มีการบัญญัติรับรองสิทธิสตรีไว้กล่าวคือ สิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทยความเสมอภาค
“มาตรา 30
บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตาม กฎหมายเท่าเทียมกันชาย และ
หญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน”
การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด
เชื้อชาติ ภาษา เพศ อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล
ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม
หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้
มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น
ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม”
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม
“มาตรา 40 บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรมต่อไปนี้
ฯลฯเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ
ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม
และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ”
สิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขและสวัสดิการจากรัฐ
“มาตรา 52 เด็กและเยาวชน
มีสิทธิในการอยู่รอดและได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา
ตามศักยภาพในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของเด็กและเยาวชนเป็นสำคัญ”
เด็ก
เยาวชน สตรี และบุคคลในครอบครัว มีสิทธิได้รับความคุ้มครองจากรัฐ
ให้ปราศจากการใช้ความรุนแรง และการปฏิบัติอันไม่เป็นธรรม
ทั้งมีสิทธิได้รับการบำบัดฟื้นฟูในกรณีที่มีเหตุดังกล่าว
การแทรกแซงและการจำกัดสิทธิของเด็ก เยาวชน และบุคคลในครอบครัว จะกระทำมิได้
เว้นแต่โดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแหงกฎหมาย
เฉพาะเพื่อสงวนและรักษาไว้ซึ่งสถานะของครอบครัวหรือประโยชน์สูงสุดของบุคคลนั้นเด็กและเยาวชนซึ่งไม่มีผู้ดูแล
มีสิทธิได้รับการเลี้ยงดูและการศึกษาอบรมที่เหมาะสมจากรัฐ
แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
แนวนโยบายด้านศาสนา
สังคม การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม
“มาตรา 80 รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านสังคม
การสาธารณสุข การศึกษา และวัฒนธรรม ดังต่อไปนี้
(1) คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน
สนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูและให้การศึกษาปฐมวัยส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย
เสริมสร้างและพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัว และชุมชน
รวมทั้งต้องสงเคราะห์และจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้
ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้อยู่ในสภาวะยากลำบาก
ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและพึ่งพาตนเองได้ ฯลฯ
แนวนโยบายด้านเศรษฐกิจ
“มาตรา 84 รัฐต้องดำเนินการตามแนวนโยบายด้านเศรษฐกิจดังต่อไปนี้ ฯลฯ
ส่งเสริมให้ประชากรวัยทำงานมีงานทำ คุ้มครองแรงงานเด็กและสตรี
จัดระบบแรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคีที่ผู้ทำงานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน
จัดระบบประกันสังคมรวมทั้งคุ้มครองให้ผู้ทำงานที่มีคุณค่าอย่างเดียวกันได้รับค่าตอบแทน
สิทธิประโยชน์ และสวัสดิการที่เป็นธรรมโดยไม่เลือกปฏิบัติ” ฯลฯ
และในกฎหมายรัฐธรรมนูญยังได้กำหนดให้รัฐให้การสนับสนุนองค์กรภาคเอกชนที่ให้การช่วยเหลือทางกฎหมายโดยเฉพาะเรื่องความรุนแรงในครอบครัว
รวมถึงบัญญัติไว้ในเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนต้องคำนึงถึงสัดส่วนของหญิงชายที่ใกล้เคียงกัน
นอกจากนี้ยังมีกฎหมายหลายฉบับที่ออกมาใช้บังคับเพื่อคุ้มครองสิทธิสตรีโดยเฉพาะ
เช่น“พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. 2550” ซึ่งแม้บทนิยามจะคุ้มครองบุคคลในครอบครัวทุกคน
แต่ในแนวคิดก็คือ คุ้มครองผู้อ่อนด้อยทางกายภาพ ไม่ว่า เด็กหรือสตรี
และกฎหมายบางฉบับก็ถูกออกแบบมา เพื่อให้สตรีมีทางออกในสภาพปัญหาต่างๆเพิ่มมากขึ้น
เช่น พระราชบัญญัติชื่อบุคคล พ.ศ.2548 ให้สิทธิในการเลือกใช้นามสกุล หรือ พระราชบัญญัติคำนำหน้านามหญิง
พ.ศ.2551
เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเลือกใช้คำนำหน้านามว่า “นาง” หรือ “นางสาว” ก็ได้
“ถึงแม้ว่าในปัจจุบันกฎหมายที่คุ้มครองด้านสิทธิสตรีจะมีอยู่มากมาย
แต่ในปัจจุบันข่าวคราวเกี่ยวกับผู้หญิงที่ปรากฏในสื่อมวลชนแขนงต่างๆ
ยังคงแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงยังคงถูกทารุณกรรม เอารัดเอาเปรียบ
ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ
ซึ่งปัญหาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นปัญหาที่สะท้อนถึงรากฐานค่านิยมและทัศนคติของสังคมไทยยุคปัจจุบันที่มองผู้ชายเป็นใหญ่ไม่แตกต่างกับสังคมไทยในอดีตที่ผ่านมา
คงจะไม่มีทางใดที่จะดีไปกว่าปลูกจิตใต้สำนึกให้คนเคารพและตระหนักถึงความสำคัญของสิทธิสตรี
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงเป็นเพศแม่ที่จะทำให้มนุษยชาติดำรงเผ่าพันธุ์อยู่ต่อไปได้
และเป็นเพศที่มีความสำคัญไม่ต่างกับเพศชาย”
ทุกวันนี้ผู้หญิงไทยได้พลิกผันบทบาทตัวเอง
จากอดีตที่เคยอยู่กับเย้าเฝ้ากับเรือนเพื่อทำหน้าที่ของความเป็นภรรยาและแม่ในการดูแลสามีและลูกไม้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง
แต่ในปัจจุบันทำหน้าที่แม่บ้านอย่างเดียว อาจทำให้ความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวไม่สมบูรณ์นั่นคือ
อาจส่งผลต่อความเป็นอยู่และความสะดวกสบายที่พึ่งจะได้รับตามสภาพของสังคมทั่วไป
โดยเฉพาะการใช้ชีวิตในสังคมเมืองด้วยเหตุผลดังกล่าวผู้หญิงไทยในปัจจุบัน
จึงต้องผันตัวเองไปทำงานเพื่อหาเงินช่วยครอบครัวอีกแรงในขณะเดียวกันเมื่อผู้หญิงมีบทบาทหน้าที่
ไม่ใช่เพียงดูแลความเป็นอยู่ของสมาชิกภายในครอบครัวเท่านั้น
แต่ยังจะต้องทำอีกบทบาทเพื่อเพื่อหารายได้เข้าครอบครัวจึงส่งผลให้การทำหน้าที่ของภรรยาและแม่ลดลงซึ่งบางครั้งอาจไม่เป็นไปตามความคาดหวังของผู้ได้ชื่อสามีและสมาชิกภายในครอบครัวเข้าใจและการมีการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระภายในบ้านซึ่งกันและกันก็จะไม่มีปัญหาและในทางตรงกันข้ามหากขาดความเข้าใจและมีความคาดหวังโดยไม่คำนึงถึงบทบาทหน้าที่แท้จริงของภรรยาแล้วอาจเกิดปัญหาขึ้นได้
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าผู้หญิงจะสามารถทำได้ทั้งบทบาทการเป็นภรรยาหรือการเป็นมารดาแล้วแต่ทัศนคติค่านิยมที่หญิงไทยรับรู้เกี่ยวกับตนเองมักมองว่าเป็นบ่วงวัฒนธรรม
ทำให้ชีวิตการทำงานนอกบ้านของผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากนานัปการ อาทิเช่น
การเรียกร้องเพื่อความก้าวหน้าการแสวงหาอำนาจ การพึ่งพา
ซึ่งดูเหมือนจะเป็นค่านิยมที่ไม่อาจลบล้างไปจากความคิดได้ดังจะเห็นได้จากงานวิจัยที่พบว่าผู้หญิงทำงาน
ได้ประเมินตัวเองในทางลบถึงบทบาทการเป็นแม่ที่ดีที่มีความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้สมบูรณ์แบบ
และจากงานวิจัยในกลุ่มผู้บริหารหญิงไทยพบว่า
ปัญหาที่พวกเธอให้ความสำคัญไม่ใช่ปัญหาทางเศรษฐกิจแต่เป็นเรื่องลูกและทัศนะที่แสดงออก
บ่งบอกถึงค่านิยมดั้งเดิมของสตรีไทยที่ยังคงต้องการทำหน้าที่มารดาที่ดี ได้ดูแลลูก
ให้ความสนใจแก่ลูกและเป็นแม่บ้านที่ดีและมีประเด็นที่น่าสนใจ
คือหากครอบครัวมีส่วนช่วยส่งเสริมเรื่องงานโดยเฉพาะสามีมีส่วนช่วยเหลือแบ่งเบาภาระงานบ้านและให้กำลังใจแก่ภรรยาจะทำให้หญิงมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงาน
บนกระแสของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมากผู้หญิงต้องช่วยแบ่งเบาภาระทางครอบครัว
ทั้งทำมาหากิน เป็นแม่ที่ดี และเป็นภรรยาที่ดีของสามี
ในการรับบทบาททางสังคมอันมากมายเช่นนี้ ย่อมมีช่องว่างที่ทำให้ผู้หญิงถูกเอารัดเอาเปรียบ
ทั้งจากทางครอบครัวและสังคม
ความรุนแรงต่อสตรีปัจจุบันนับว่าเป็นปัญหาหนึ่งของสังคมที่สำคัญของสังคมไทยเลยที่เดียว
ส่วนหนึ่งของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับสตรีนั้นเกิดจากคนในครอบครัวที่เป็นผู้ทำร้าย
ทั้งจิตใจก็ดีหรือแม้แต่ร่างกายก็ดี และส่วนหนึ่งของความรุนแรงต่อสตรีเกิดมาจากสังคม
เช่น ในที่ทำงาน เป็นต้น
ปัจจุบันปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง
เป็นปัญหาร่วมกันของผู้หญิงทั่วโลก
และได้รับการยอมรับว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อผู้หญิง
โดยเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗ องค์การสหประชาชาติ ได้ออกคำประกาศเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง
โดยได้ให้นิยามความหมาย"ความรุนแรงต่อผู้หญิง" หมายถึง
การใช้ความรุนแรงใด ๆ อันสืบเนื่องมาจากแตกต่างระหว่างหญิงชาย
ซึ่งมีผลหรือมักจะมีผล ทำให้เกิดอันตรายหรือความเดือนร้อน ทางกาย ทางเพศ
หรือทางจิตใจต่อผู้หญิง ซึ่งความรุนแรงต่อผู้หญิงนั้นเกิดขึ้นได้ในทุกมิติของสังคม
ทั้งในครอบครัว ในชุมชน สถานที่ทำงานและสถาบันการศึกษา
ที่ผ่านมา
ความพยายามในการแก้ไขปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิงทั้งในระดับสากลและระดับประเทศ
ได้มีการสร้างมาตรการทางสังคม เช่น การรณรงค์สร้างสรรค์เข้าใจกับสังคม เพื่อตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง
และมาตรการทางกฎหมาย เช่น การบัญญัติกฎหมาย ปรับปรุงกฎหมาย
เพิ่มบทลงโทษกับผู้กระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงในหลายรูปแบบองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านผู้หญิงได้มองเห็นความสำคัญของการออกกฎหมาย
และการแก้ไขกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ และสร้างเสริมความเสมอภาคของหญิงชาย
จึงได้ใช้แนวทางแก้ไขกฎหมายเป็นแนวทางหนึ่งในการยุติปัญหาความรุนแรง
ควบคู่กับมาตรการทางสังคม จากการทำงานขององค์กรพัฒนาเอกชน
ในการทำงานให้ความช่วยเหลือผู้หญิงที่ประสบปัญหา พบว่า
ผู้หญิงจำนวนมากได้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวโดยสามี
ความรุนแรงที่ผู้หญิงถูกกระทำนั้น
ครอบคลุมทั้งความรุนแรงทางร่างกายและทางเพศจากงานวิจัย
"ความรุนแรงในชีวิตคู่กับสุขภาพผู้หญิง"
ซึ่งศึกษาโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
และมูลนิธิผู้หญิงร่วมกับองค์กรอนามัยโลก พบว่า หนึ่งในสามของผู้หญิงถูกกระทำรุนแรงทางเพศ
รวมถึงถูกบังคับให้มีเพศสัมพันธ์โดยใช้กำลัง
และหญิงที่เคยถูกกระทำรุนแรงทั้งทางกายและทางเพศ เคยคิดฆ่าตัวตายสูง
รวมทั้งมีการใช้ยานอนหลับและยาแก้ปวดสูงกว่าผู้หญิงที่ถูกกระทำรุนแรง
และจากการทำงานช่วยเหลือผู้หญิงที่ประสบปัญหาของมูลนิธิเพื่อนหญิง
อันเนื่องมาจากการถูกคุกคามจากภัยทางเพศ สามีทอดทิ้ง ทำร้ายทุบตี (ม.ค. - ก.ย.
๒๕๔๕) มีผู้มาใช้บริการ ๖๔๓ ราย สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงยังเป็นที่ปรากฏ
ดังนั้นปัญหาสามีข่มขืนภรรยา
จึงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อตัวตนและจิตใจของผู้หญิงอย่างใหญ่หลวง
แต่ปัญหาสามีข่มขืนภรรยานี้กลับไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาประมวลกฎหมายอาญา
มาตรา ๒๗๖ บัญญัติว่า "ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิง ซึ่งมิใช่ภรรยาตน
โดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย...
โดยหญิงอยู่ในภาระที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้หญิงเข้าใจผิดว่าคนเป็นบุคคลอื่น
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี
และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท"กฎหมายนี้สะท้อนถึงการมอบสิทธิให้สามีข่มขืนภรรยาของตนโดยไม่ผิดกฎหมาย
ซึ่งมีแนวคิดในการบัญญัติกฎหมายว่า "ภรรยาเป็นวิญญาณทรัพย์ของสามี "
(หมายถึง ทรัพย์ที่มีชีวิตของสามี) โดยมิได้คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
และการเป็นเจ้าของชีวิต และเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง
การบัญญัติกฎหมายในลักษณะเช่นนี้
เท่ากับเป็นการให้สิทธิพิเศษแก่สามี ในการกระทำความรุนแรงทางเพศต่อภรรยา
โดยใช้การขู่เข็ญหรือการใช้กำลังประทุษร้ายบังคับ แม้ภรรยาจะไม่เต็มใจก็ตามสะท้อนให้เห็นถึงการใช้มุมมองของผู้ชายเป็นหลัก
ในการบัญญัติกฎหมาย โดยมีพื้นฐานแนวคิดที่ว่า
ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วต้องตกเป็นสมบัติของสามี ดังนั้นสามีจะกระทำการใด ๆ
ทั้งทางกายหรือทางเพศก็ได้
ปัจจุบันสถานการณ์สังคมที่เปลี่ยนไปมาก
บทบัญญัติดังกล่าวไม่อาจคุ้มครองผู้เสียหายได้ทุกกลุ่ม เช่น ผู้หญิงซึ่งเป็นภรรยา
เด็กชาย หรือ ชายที่แปลงเพศเป็นหญิง เป็นต้น
บุคคลดังกล่าวยังขาดโอกาสในการที่จะได้รับการคุ้มครองจากกฎหมายอาญาทั้งที่ผู้เสียหายถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ในลักษณะที่ใกล้เคียงกับการข่มขืนกระทำชำเรา
ความเคลื่อนไหว ด้วยเหตุนี้
จึงได้เกิดความพยายามจากหลายฝ่าย ในการแก้ไขปัญหากฎหมายอาญาในฐานความผิดทางเพศในปี
๒๕๓๘ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานศึกษา
และเสนอแนะการดำเนินงานเกี่ยวกับวิธีการพิจารณาความผิดทางเพศ (ดร.สายสุรี จุติกุล)
เป็นประธาน มีข้อเสนอให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในมาตราต่าง ๆ ดังนี้
1. เพิ่มบทนิยามคำว่า
"กระทำชำเรา"
2. แก้ไขปรับปรุง มาตรา ๒๗๖ และมาตรา ๒๗๗
ขยายขอบเขตฐานความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ให้คุ้มครอง
ผู้หญิงที่เป็นภรรยาโดยชอบของผู้กระทำ รวมถึงการกระทำแก่ชายและเด็กชายด้วย
3. เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำให้ปรากฏภาพและเสียงของเด็กในสื่อลามก
ตลอดจนลงโทษผู้มีสื่อลามกไว้ในครอบครอง
พร้อมทั้งได้เสนอให้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
เพื่อคุ้มครองเด็กด้วย (ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้ผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
บังคับใช้เป็นกฎหมายได้ใน พ.ศ. ๒๕๔๒)
ส่วนร่างพระราชบัญญัติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญานั้น
คณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานสตรีแห่งชาติ (กสส.)
ได้ส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๐ (ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการให้มีการปรับแก้ไขร่างประมวลกฎหมายอาญา)
โดยได้จัดทำร่างแก้ไขกฎหมายเพิ่มเติมนิยามคำว่าข่มขืนและเสนอแก้ไขมาตรา ๒๗๖ เป็น
"ผู้ใดข่มขืนกระชำเรา ผู้อื่น" เพื่อคุ้มครองผู้หญิง
ซึ่งมีสถานะเป็นภรรยาให้ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย รวมถึงกรณีการกระทำต่อเด็กชายและผู้ชายเมื่อร่างกฎหมายดังกล่าว
ผ่านเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา ทางคณะกรรมการกฤษฎีกา
มีมติไม่เห็นด้วยกับร่างแก้ไขกฎหมายดังกล่าว และเสนอร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่
โดยให้คงข้อความเดิมที่ระบุว่า " ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงซึ่งมิใช่ภรรยาของตน
.." และให้เพิ่มประเด็นการคุ้มครองหญิงที่เป็นภรรยาในมาตรา ๒๗๖ ทวิ
โดยให้ความคุ้มครองการข่มขืนภรรยาสองกรณีเท่านั้นคือ
การข่มขืนในขณะที่มีสามีเป็นโรคติดต่อทางเพศอย่างร้ายแรงอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่าย
หรือเป็นการข่มขืนในขณะที่แยกกันอยู่ โดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย
หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งศาลร่างแก้ไขของคณะกรรมการกฤษฎีกา มาตรา ๒๗๖
คงเดิมเพิ่มมาตรา ๒๗๖ ทวิ
" ถ้าการกระทำตามมาตรา ๒๗๖ วรรคแรก
เป็นการกระทำแก่หญิงซึ่งเป็นภริยาของผู้กระทำ
และกระทำในขณะที่ตนเป็นโรคติดต่อทางเพศอย่างร้ายแรงอันอาจเป็นภัยแก่อีกฝ่าย
หรือได้กระทำในขณะที่แยกกันอยู่โดยความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายด้วยสาเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข
หรือแยกกันอยู่ตามคำสั่งของศาลผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท"
แนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิง
ซึ่งเกิดขึ้นจากเวทีสัมมนาขบวนยุทธ์หญิงไทยในศตวรรษที่ ๒๑ ในช่วงปี พ.ศ. ๒๕๔๓
จากองค์กรพัฒนาเอกชนที่ทำงานด้านผู้หญิง
ได้ร่วมกันก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปรับยุทธศาสตร์การทำงานให้ทันต่อสถานการณ์
โดยมีองค์กรประสานงานกลางเครือข่ายแนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิง
อยู่ที่มูลนิธิผู้หญิง เห็นว่า
การคุ้มครองเฉพาะเหตุดังกล่าวเพียงสองประการนั้นยังไม่เพียงพอเป็นการขัดกับเจตนารมณ์
ในกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่เป็นความเสมอภาคในการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย
(มาตรา ๓๐) ให้สิทธิเสรีภาพของบุคคลในชีวิตและร่างกาย (มาตรา ๓๑) ตลอดจนให้ความคุ้มครองแก่เด็ก
และบุคคลในครอบครัวจากการทารุณกรรมต่าง ๆ (มาตรา ๕๓)
ดังนั้นแนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิง
จังได้รณรงค์ให้รัฐบาลส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน อันได้แก่
สิทธิในร่างกายของตน โดยการแก้ไข กฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ โดยให้ตัดวลี
"ซึ่งมิใช่ภรรยาของตน" แก้ไขเป็น "
ผู้ใดข่มขืนกระทำชำเราหญิงโดยขู่เข็ญด้วยประการใด ๆ ..."
เพื่อให้หญิงทุกคนได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายที่เท่าเทียมกัน
กระบวนการรณรงค์ใน
มาตรา ๒๗๖แนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิง
ได้เปิดประเด็นให้เกิดการแก้ไขกฎหมายอาญา ฐานความผิดทางเพศมาตรา ๒๗๖
ในระยะเริ่มต้นเมื่อวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๔๕ และได้ประสานงานหน่วยงานภาครัฐคือ
สถาบันกฎหมายอาญา สำนักงานอัยการสูงสุด และกลุ่มองค์กรที่ทำงานด้านผู้หญิง เช่น
เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ ฯลฯ รณรงค์ยกเลิกสิทธิที่ให้สามีข่มขืนภรรยา ร่วมแก้ไปกฎหมายอาญามาตรา
๒๗๖ ในพื้นที่ต่าง ๆ โดยได้มีการจัดเวทีสัมมนาทั่วประเทศ ๑๓ ครั้ง ในประเด็น
" สังคมไทยพร้อมเพียงใดในการแก้ไขกฎหมายอาญา ( มาตรา ๒๗๖ )
ในฐานความผิดทางเพศ "
เพื่อเป็นการรับฟังความเห็นจากภาคประชาสังคมทั้งหญิงและชาย
สรุปผลการเวทีสัมมนา
ประสบการณ์เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศในระดับครอบครัว (ทิชา ณ นคร :
เครือข่ายผู้หญิงกับรัฐธรรมนูญ หนังสือพิมพ์มติชน ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ หน้า ๑๔ )
ดังตัวอย่างที่พบจากเวทีแลกเปลี่ยน
- สามีตบตีภรรยาก่อนร่วมเพศ
ภรรยาไม่กล้าร้องเพราะอายลูก บางครั้งสามีเมาภรรยาแอบไปพักกับเพื่อนบ้าน
แต่สามีกลับพูดว่าภรรยามีชู้
- สามีติดยา เล่นการพนัน
เที่ยวและเปลี่ยนคู่นอนจนภรรยากลัวติดโรค
แต่ถูกบังคับขืนใจร่วมหลับนอนอยากเลิกกับสามี เคยบอกแม่
แม่บอกว่าช่างมันเถอะทนเอาเราเป็นภรรยา เป็นลูกหญิง
- สามีภรรยาสองคู่ได้แลกเปลี่ยนภรรยาหลับนอนกัน
โดยผู้ชายตกลงกันเอง ฝ่ายภรรยาไม่เต็มใจแต่ไม่มีทางเลือก
- สามีข่มขืนร่วมหลับนอนโดยไม่เลือกเวลา
ทำให้ท้อใจอยากหย่า แต่กลัวลูกได้รับผลกระทบไม่รู้จะทำอย่างไรก็ต้องทน
- สามีทุบตีภรรยาก่อนร่วมหลับนอนและบางครั้งบังคับให้หลับนอนให้คนอื่นดูภรรยาอายแต่ไม่กล้าบอกใคร
- สามีบังคับให้อยู่แต่บ้านและให้ทำงานทุกอย่าง
แต่ตัวเองไปมีภรรยาน้อยเวลากลับมาบ้านจะบังคับข่มขืนภรรยา
ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก็จะให้หยุดทำ
- สามีมีเชื้อซิฟิลิสนำมาติดภรรยา
แพทย์ให้ไปรักษาไม่ยอมไป ภรรยาไม่อยากร่วมแต่ถูกทำร้ายทุบตี ขอหย่าก็ไม่ยอมหย่า
- ภรรยาและสามีเลิกรากันไปแล้ว
แต่ไม่ได้หย่าขาดจากกันเมื่อมีโอกาสสามีจะข่มขืนภรรยา โดยอ้างสิทธิในการเป็นสามี
เมื่อไม่ยินยอมก็ใช้กำลังทำร้าย
เมื่อขึ้นโรงพักก็ไม่สามารถเอาผิดสามีได้เพราะมีทะเบียนสมรสและต่อมาภรรยาคนนี้ฆ่าตัวตาย
ผลสรุปจากการสัมมนาในทุกภูมิภาค
คือ ต้องการให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๖ ให้คุ้มครองผู้หญิงที่เป็น ภรรยา เด็กชาย
ผู้ชาย และบุคคลทุกเพศทุกวัย และให้แก้ไขนิยาม " ข่มขืนกระทำชำเรา "
ที่ยึดตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ๑๖๔๔/๒๕๓๒ ที่ระบุว่า"
การใช้อวัยวะเพศชายล่วงล้ำเข้าไปในช่วงสังวาสหรืออวัยวะสืบพันธุ์ของหญิง "
เนื่องจากไม่ครอบคลุมการละเมิดทางเพศตามความเป็นจริงในปัจจุบัน
นอกจากนี้
แนวร่วมเพื่อความก้าวหน้าของผู้หญิงยังได้ดำเนินการรณรงค์ล่ารายชื่อ (๕๐,๐๐๐ ชื่อ)
และผลักดันให้เกิดการแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่า
เป็นภารกิจที่สำคัญที่ต้องทำให้หลักการ เรื่องสิทธิเสรีภาพในชีวิตของประชาชนทุกคนในสังคม
จะได้รับการคุ้มครองสมกับเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญ
ขณะเดียวกันหน่วยงานภาครัฐ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ก็ได้มีการตื่นตัวและรณรงค์เรื่องการยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก
เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกให้คนไทยตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันข้อความที่ใช้ในการรณรงค์คือ
" ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องผู้หญิงต้องเรียกร้อง
แต่เป็นเรื่องที่ผู้ชายต้องบอกผู้ชาย ให้มาช่วยกันยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
ถือเป็นพันธสัญญาที่ผู้ชายจะมีให้แก่กัน" นอกจากนี้สำนักงานกิจการสตรีและครอบครัว
กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้จัดเวทีสัมมนา เรื่อง
"การใช้กฎหมายเพื่อขจัดความรุนแรงในครอบครัว" เมื่อวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน
๒๕๔๕ (เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี)
เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนหาข้อเสนอแนะเกี่ยวกับ ร่าง พ.ร.บ. ขจัดความรุนแรงในครอบครัว
พ.ศ. 2550
แนวโน้มสถานภาพและบทบาทของสตรีไทยในอนาคต
จากลำดับความเป็นมาของค่านิยมของสังคมไทยต่อผู้หญิง
แสดงให้เห็นว่าสังคมไทยยังคงมีค่านิยมและทัศนคติเชิงซ้อนต่อผู้หญิงแม้ว่าในบางเรื่องจะได้มีการปรับเปลี่ยนมุมมองและแนวคิด
แต่บ้างสถานภาพของผู้หญิงก็ยังไม่เสมอภาคเท่าเทียมกับชาย อย่างไรก็ตาม
เมื่อเทียบกับทัศนคติและค่านิยมของสังคมต่อผู้หญิงในสังคมอื่นแล้ว
สถานภาพและบทบาทของผู้หญิงไทยจะดีกว่าในบางประเทศโดยในแถบเอเชียด้วยกัน
คนในสังคมส่วนใหญ่เพิ่มความสำคัญของความเสมอภาคทางเพศของหญิงและชาย แนวโน้มบทบาทของผู้หญิงไทยในอนาคต
มีแนวโน้มว่าจะได้รับการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้คือ
(1) ปัจจัยทางการเมือง การปกครอง
ปัจจุบันผู้หญิงไทยได้รับบทบาทในทางการเมือง เช่น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
เป็นสมาชิดวุฒิสภา เป็นสมาชิกหรือเป็นตัวแทนในระดับท้องถิ่นเป็นกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน
เป็นสมาชิกสภาเทศบาล เป็นนายกเทศมนตรี ในกรุงเทพมหานคร เป็นสมาชิกสภาเขต เป็นต้น
เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
และในอดีตเคยมีผู้หญิงเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เช่น คุณหญิงเลอศักดิ์
สมบัติศิริ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทบวงมหาวิทยาลัย เช่น นางวิมลศิริ ชำนาญเวช
และนโยบายของพรรคการเมือง
หัวหน้าพรรคก็มีนโยบายในการที่จะพัฒนาและยกสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงให้ดีขึ้น
และนอกจากนั้น ผู้หญิงในวงราชการก็ได้รับการเลื่อนขั้น
เลื่อนตำแหน่งในระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย เป็นตำแหน่งระดับสูงในกระทรวงมหาดไทย
เป็นตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด ในกระทรวงกลาโหม ผู้หญิงได้รับระดับนายพล เป็นต้น
(2) ปัจจัยทางสังคม ได้แก่
- การเคลื่อนไหวของนักสิทธิสตรีในแนวคิดสตรีนิยม(feminst)ในประเทศต่างๆ
รวมทั้งในประเทศไทยทำให้คนในสังคมมีความตื่นเต้นเกี่ยวกับเรื่องของสิทธิและความเสมอภาคของผู้หญิงเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งความพยายามของนักวิชาการหลายๆฝ่ายที่ทำการศึกษาวิจัย
เสนอข้อคิดในเรื่องความไม่เสมอภาคของผู้ชายและผู้หญิงในสังคมได้รับรู้
- การตระหนักในสิทธิของตนเองและสิทธิมนุษยชนในประเทศไทย
ทำให้การเรียกร้องในเรื่องความไม่เสมอภาคในด้านต่างๆ เช่น ค่าจ้างแรงงาน
การประกอบอาชีพ สิ่งแวดล้อม รวมทั้งเรื่องสิทธิของผู้หญิงด้าย
- การได้รับการศึกษาเพิ่มขึ้นของผู้หญิงไทยทำให้ผู้หญิงได้ตระหนักในการดูแลตนเองและตระหักถึงข้อจำกัดความสามารถของผู้หญิง
และเพิ่มโอกาสทางการศึกษา ทำให้ผู้หญิงได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้น
- การรับรู้ข่าวสารทางสังคมเพิ่มมากขึ้นจากสื่อมวลชนประเภทต่างๆ
ทำให้คนในสังคมได้รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นเพิ่มมากขึ้นเป็นปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
ปัญหาครอบครัวแตกแยก ปัญหาความไม่รับผิดชอบ ปัญหาของสามีต่อภรรยาหรือพ่อแม่ของลูก
การทำทารุณเด็กและผู้หญิง การคุกคามทางเพศ(sexual harassment) ต่อผู้หญิงในรูปแบบต่างๆ
ทำให้ปัญหาของผู้หญิงและเด็กเป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวาง
เกิดความเข้าใจและความรับผิดชอบที่จะช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกันเพิ่มมากขึ้น
(3) หน่วยงานที่รับผิดชอบให้ความช่วยเหลือกับผู้หญิงทั้งหน่วยงานรัฐบาลและองค์ดรเอกชนได้ให้ความสำคัญและเล็งเห็นถึงปัญหาในเรื่องนี้
ก็ได้มีการปฏิบัติงานประสานความร่วมมือดีขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา
จากปัจจัยที่กล่าวมาข้างต้นเชื่อว่า
แนวโน้มสถานภาพและบทบาทของผู้หญิงไทยน่าจะดีขึ้น
ผู้หญิงไทยจะมีโอกาสที่จะได้รับการยอมรับเพิ่มมากขึ้นมีโอกาสในเรื่องต่างๆ
เพิ่มขึ้น เช่น โอกาสทางการศึกษา อาชีพ รายได้ ที่เสมอภาคเท่าเทียมกับผู้ชาย
รวมทั้งแนวโน้มที่จะมีการปรับปรุงตัวบทกฎหมายบางฉบับ
โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายครอบครัวที่จะให้โอกาสของผู้หญิงได้ดูแลตัวเองเพิ่มมากขึ้น
ปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะทำให้ปัญหาความไม่เสมอภาคลดน้อยลง
และจะทำให้สถาบันครอบครัวเข้มแข็งขึ้น และเป็นสถาบันที่มีความหมาย
และมีความสำคัญต่อมนุษยชาติต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
ขอบคุณมากครับ มีประโยชน์มากเลย
ตอบลบ