วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

ปัญหาความเสื่อมโทรมทางคุณธรรมจริยธรรมของคนไทย : นางสาวชลธิชา มั่นนวล [53410851]

                                               ปัญหาความเสื่อมโทรมทางคุณธรรมจริยธรรมของคนไทย
ในการแสดงความคิดเห็นเชิงลบ ; ปัญหาเล็กที่ไม่ควรมองข้าม

                ประเทศไทยในอดีตได้รับการขนานนามและเป็นที่รู้จักของคนทั่วโลกว่าเป็น สยามเมืองยิ้ม เมืองแห่งรอยยิ้ม มิตรภาพ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่และมีน้ำใจ   และเป็นประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากมาย ไม่ว่าจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติหรือว่าโบราณสถาน อันเป็นจุดดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้ามาเที่ยวชมอย่างไม่ขาดสาย   นอกจากนั้นยังมีประเพณีและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะจึงทำให้ไทยกลายเป็นจุดศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระดับโลกได้ไม่ยาก   ด้วยปัจจัยสนับสนุนต่างๆ ทั้งด้านการพัฒนาพื้นที่แหล่งท่องเที่ยว  การกำหนดนโยบายรองรับการท่องเที่ยวที่เป็นรูปธรรมตั้งแต่ พ.ศ 2479  (ประวัติ ททท. ; การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย) และพัฒนาต่ออย่างเนื่องจนถึงปัจจุบัน
จากการเปิดตลาดการท่องเที่ยวของประไทยส่งผลให้ประชากรมีรายได้และอาชีพที่มั่นคงขึ้น  และรัฐเองก็ได้รับผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนนักทุนและผู้ประกอบการเช่นกัน  จึงทำให้มีนโยบายและมาตรการรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นพร้อมกับการพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าและเสริมสร้างความสะดวกสบายให้กับประชาชนในทุกๆ ด้าน   จนดูเหมือนว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่กำลังได้รับการพัฒนาและเป็นเช่นนั้นมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี นับตั้งแต่รู้จักคำว่าพัฒนาและการกำหนดแผนพัฒนาที่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

แม้ว่าการพัฒนาประเทศด้านกายภาพ เศรษฐกิจและสังคม จะมีอัตราการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งความภาคภูมิใจของประเทศไทยในสังคมโลก   นอกจากนั้นยังมีการแลกเปลี่ยนความรู้กับนานาประเทศรวมไปถึงการเปิดรับค่านิยม วัฒนธรรมต่างแดนเข้ามาผสมผสานในวิถีชีวิตอย่างแยบยล  แต่การอัตราการพัฒนาดังกล่าวกลับสวนทางกับคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมอันดีงามของคนในสังคมไทยที่นับวันรังแต่จะเสื่อมถอย ลดน้อยลงไปทุกที   โดยเฉพาะอย่ายิ่งในสังคมที่ถูกยกย่องว่าเป็นสังคมเมือง  ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการรับเอาค่านิยมต่างชาติเข้ามาเพื่อสื่อถึงความทันสมัย  ความเจริญก้าวหน้าไม่ล้าหลัง และมีความรอบรู้เท่าทันทั้งในด้าน  การศึกษา  ภาษา  ค่านิยมการแต่งกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัฒนธรรมทางดนตรี  อันเป็นเป็นประเด็นหลักที่จะหยิบยกตัวอย่างเข้ามาเกี่ยวโยงกับปัญหาความเสื่อมโทรมทางจริยธรรมของคนไทย ในเรื่องการแสดงความคิดเห็นเชิงลบที่อาจส่งผลกระทบไปทั่วทุกภาคส่วนอย่างที่ไม่ควรมองข้าม

                ในยุคปัจจุบันโลกมีการเปิดกว้างมากขึ้นในทุกด้าน การติดต่อสื่อสาร การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ค่านิยมต่างๆ จึงเปิดกว้างตามไปด้วยและสร้างการเปลี่ยนแปลงทางค่านิยมมากมายขึ้นในสังคมไทย ซึ่งการเปลี่ยนดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่มีมานานแล้ว โดยเฉพาะค่านิยมทางดนตรีที่รับเอาวัฒนธรรมตะวันตกมาผสมผสานอย่างเห็นได้ชัดในยุค 80 ที่ทั้งค่านิยมการฟังเพลงและแฟชั่นมีการโอนเอียงไปตามกระแสและได้รับการยอมรับในสังคมว่ามีความทันสมัยและแฝงไปด้วยการจัดแบ่งชนชั้นจากรสนิยมทางดนตรีและมีการเปลี่ยนแปลงค่านิยมไปตามยุคสมัยเรื่อยมา ทั้งค่านิยมที่รับมาจากตะวันตก อย่างเช่นประเทศอังกฤษและอเมริกา และค่านิยมจากทางตะวันออกไม่ว่าจะเป็นประเทศญี่ปุ่น, ใต้หวัน, และที่กำลังเพิ่มความนิยมมากขึ้นในขณะนี้คือประเทศเกาหลี ที่กำลังมีกระแสความนิยมในวงกว้างมากขึ้นในสังคมไทย   และมีผลกระทบทั้งในทางบวกและทางลบต่อวงการดนตรีของไทยจนเรียกว่าเป็นสื่อที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อทิศทางของแนวเพลงไทยปัจจุบันในระดับหนึ่งก็ว่าได้
ทั้งนี้ก็มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบ ต่อต้านและมีความคิดแตกต่างกันออกไปกับการรับค่านิยมทางดนตรีจากประเทศต่างๆ เข้ามาเป็นทางเลือกหนึ่งของการเลือกฟังเพลง  ซึ่งมีข้อดีอย่างเห็นได้ชัดเลยคือ ทำให้สังคมไทยได้รับวัฒนธรรมและรูปแบที่แปลกใหม่ทางดนตรีและค่านิยมที่ตามมาและทำให้ได้มองเห็นว่าวงการเพลงไทยน่าจะอยู่ในระดับใดเมื่อลองเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ  และมีโอกาสพิจารณาข้อดีข้อด้อยของวัฒนธรรมทางดนตรีของไทยเพื่อที่จะสามารถนำมาผสมผสานและพัฒนาปรับปรุงไปในทิศทางที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้นบนพื้นฐานของค่านิยมและวัฒนธรรมไทยที่เหมาะสม  อย่างน้อยการหันมาให้ความสำคัญกับแวดวงดนตรีและการฟังเพลงอาจจะช่วยเบี่ยงเบนความสนใจและลดความเครียดที่มีต่อภาคการเมืองและเศรษฐกิจที่มีแต่ความวุ่นวายลงได้บ้างไม่มากก็น้อย  แต่ข้อเสียที่เห็นได้ชัดเช่นกันคือ การรับเอาค่านิยมและวัฒนธรรมเข้ามามากจนเกินไปทำให้สูญเสียความเป็นตัวเองและสูญเสียรูปแบบทางดนตรีบางอย่างที่มีความเฉพาะตัวของไทย ตัวอย่างเช่น คำบางคำที่มีการควบกล้ำและการออกเสียงในภาษาถูกดัดแปลงให้อิงสำเนียงจากต่างประเทศจนดูมากเกินไป  และการพยายามเลียนแบบต่างๆ จนขาดความเป็นอัตลักษณ์ทั้งแนวดนตรีและการแต่งกายที่บางครั้งก็เป็นสิ่งที่ไปกันไม่ได้กับวัฒนธรรมและภูมิอากาศของประเทศไทย
                อย่างไรก็ตามการเปิดรับแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางดนตรีจากต่างชาติเข้ามา  ถือว่าเป็นการเปิดสังคมที่กว้างขึ้นสำหรับผู้ที่มีความชื่นชอบทางดนตรีที่หลากหลายและแปลกใหม่และในทางกลับกันผู้ที่ต่อต้านหรือไม่ได้มองว่าดนตรีและการแสดงประกอบต่างๆ เป็นศิลปะและการแสดงความสามารถของบุคคล  ทำให้มองข้ามศีลธรรมและมารยาทอันดีของชาวไทยที่สั่งสมและสืบทอดกันมายาวนาน  และเกิดการแสดงออกทางคำพูดและการกระทำที่ไม่เหมาะสมเพียงเพราะต้องการอ้างสิทธิในการแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ  ในทางลบที่มีต่อผลงานของศิลปินทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ อาทิ ประเทศอังกฤษ  อเมริกา  ญี่ปุ่น  เกาหลี  และในแถบประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนไม่ว่าจะเป็นประเทศลาว  กัมพูชา  และพม่า  เป็นต้น
สร้างชื่อเสียงประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักอีกด้านหนึ่งคือ  ประเทศที่คนไร้มารยาทและไม่ให้เกียรติผู้อื่น  แม้ว่าคนในสังคมทั่วไปที่ไม่ค่อยข้องเกี่ยวกับสังคมออนไลน์อาจไม่เคยรับรู้ถึงผลกระทบของปัญหาหรืออาจมองว่าปัญหาที่ต่างชาติเริ่มมองคนไทยในด้านลบเพิ่มขึ้นเป็นเพียงแง่มุมเล็กๆ ในสังคม หรือเป็นเพียงปัญหาของกลุ่มคนในโลกออนไลน์   แต่ในความเป็นจริงแล้วปัญหาที่หลายคนมองว่าเป็นปัญหาเล็กๆ ไร้สาระ  ปัจจุบันกำลังส่งผลกระทบและสะท้อนหลากหลายด้านของสังคมไทยไปสู่สังคมโลก  ทั้งปัญหาความเสื่อมโทรมของจริยธรรมของคนไทยและการขาดวิจารณญาณในการแสดงมารยาทที่เหมาะสมต่อสาธารณชน  และปัญหาทางการได้รับการศึกษาที่หลายครั้งคนไทยบางคนมักแสดงออกหรือระบายด้วยการหยาบคายต่อบุคคลอื่นโดยผ่านทางสื่อออนไลน์สาธารณะโดยคิดว่าเป็นที่สาธารณะที่สามารถแสดงความคิดเห็นใดๆ ก็ได้ ไม่ถือว่าเป็นสิ่งผิดและไม่มีใครจับต้องการมีตัวตนของคนผู้นั้นได้  จนลืมคิดไปว่าสื่อออนไลน์สาธารณะคือที่ที่ทุกคน ทุกชนชาติสามารถเข้าถึง  และในบางครั้งก็ใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าคนไทยเสียอีก

                ตัวอย่างของการแสดงความคิดเห็นเชิงลบในสื่อสาธารณะของคนไทยที่เห็นได้ทั่วไปคือในเว็บไซต์  ชื่อดังที่เป็นศูนย์รวมของวิดีโอจากทุกประเทศและเผยแพร่ไปทั่วโลก  ณ เวลานี้ชื่อเสียงของคนไทยทั้งในด้านการแสดงความสามารถที่ดีและการแสดงความคิดเห็นที่ตรงข้ามอย่างสุดขั้วก็แพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ ด้วยเช่นกัน   เนื่องจากไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่รู้จักในฐานะแหล่งท่องเที่ยวและประเทศแห่งรอยยิ้มและมิตรภาพและมีวัฒนธรรมและภาษาที่เป็นอัตลักษณ์  ในยุคแห่งความเจริญของเทคโนโลยีการสื่อสารเช่นนี้ยิ่งส่งผลให้มีผู้คนให้ความสนใจศึกษาวัฒนธรรมและภาษาไทยเพิ่มขึ้น  และการตีความแปรภาษาต่างๆ ก็เป็นไปได้ง่ายและสะดวกรวดเร็ว  ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากเกินความสามารถที่นานาประเทศจะเข้าใจหรือสามารถตีความภาษาไทยได้

ด้วยความคึกคะนองหรือว่าเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้คนไทยบางคนแสดงความคิดเห็นในสื่อสาธารณะโดยเฉพาะเรื่องดนตรีและศิลปินซึ่งเป็นเรื่องของความรู้สึกชอบส่วนบุคคล  ถึงแม้คนไทยจะไม่ใช่ประเทศเดียวที่แสดงความคิดเห็นเชิงลบในประเทศอื่นๆ ก็มีเช่นเดียวกันแต่ด้วยความที่ไทยมีภาษาที่เป็นเอกลักษณ์ที่น่าภาคภูมิใจมาช้านาน  และเป็นที่รู้กันดีว่ามีคนไทยจำนวนไม่มากนักที่จะใช้และสื่อสารภาษาต่างประเทศได้คล่องจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะสามารถพบเจอข้อความแสดงความคิดเห็นเชิงลบเป็นภาษาไทยในวิดีโอของหลายๆ ประเทศ  ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการแสดงความไม่ให้เกียรติตัวศิลปินต่างชาติและการวิจารณ์แง่มุมที่ไม่เป็นประโยชน์หรือไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือจุดประสงค์ที่แท้จริงของการนำเสนอแนวเพลงและองค์ประกอบต่างๆ
ในหลายๆ ครั้งที่ภาษาไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารและแสดงความเสื่อมของคุณธรรมจริยธรรมออกมาให้นานาอารยประเทศได้เห็น   ซึ่งบางครั้งการแสดงความคิดเห็นแม้เพียงความคิดเห็นเดียวหรือเป็นส่วนน้อยมากแต่ก็สามารถเป็นชนวนเหตุก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ถกเถียงกันเป็นเรื่องราวและอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องได้  เพราะความชื่นชอบในตัวศิลปินและผลงานเป็นสิ่งที่ค่อนข้างอ่อนไหวและเกี่ยวเนื่องโดยตรงกับความรู้สึกส่วนบุคคล
การกระทำที่สะท้อนจิตใจด้านลบของคนไทยบางคนถึงแม้ว่าต่างชาติอาจจะไม่เข้าใจและสามารถตีความได้ทั้งหมดแต่คนไทยด้วยกันเองต่างก็ทราบเป็นอย่างดีว่าเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม  จึงคิดว่าเป็นการดีที่จะว่ากล่าวตักเตือนกันเองเรื่องมารยาทที่พึงมีต่อการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ  แต่หลายครั้งกลับกลายเป็นปัญหาลุกลามและยิ่งแสดงให้เห็นความเสื่อมของจิตใจและสภาพสังคมไทยออกมามากยิ่งขึ้น

ตัวอย่างประเทศที่คนไทยบางส่วนมักแสดงความคิดและทัศนคติเชิงลบอย่างเห็นได้ชัด ได้แก่
    ประเทศลาว  ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนที่คนไทยมองว่าล้าหลัง ไม่มีการพัฒนาและเป็นประเทศที่ตามหลังประเทศไทยมาโดยตลอด  บ่อยครั้งจึงถูกกดขี่และดูถูกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีความทันสมัยหรือเป็นเป็นสากล  และมักถูกหยิบยกเรื่องสติปัญญาและรูปร่างหน้าตามาวิจารณ์ทางลบและเปรียบเทียบให้ตกเป็นรองประเทศไทย  ซึ่งคนลาวสามารถเข้าใจภาษาไทยได้ดีที่สุดในบรรดาหลายประเทศจึงมีการตอบกลับและแสดงความคิดที่เห็นที่เห็นได้ชัดว่าปัจจุบันลาวมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นในหลายด้าน ทั้งระบบการศึกษา และเทคโนโลยีต่างๆ  ที่สามารถก้าวนำประเทศไทยในอีกไม่กี่ปีได้อย่างไม่ยาก

    ประเทศพม่า  เป็นอีกประเทศหนึ่งที่ถูกวิจารณ์และแสดงความคิดเห็นด้านลบในแง่มุมเดียวกับประเทศลาวและมักถูกหยิบยกประเด็นความขัดแย้งและประวัติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง  ซึ่งความจริงในปัจจุบันพม่าเป็นประเทศที่น่าจับตามองในการพัฒนาเพราะเนื่องจากเป็นประเทศที่มีความอุดมสมบูรณ์ทางทรัพยากรธรรมชาติในระดับสูง  หากว่ามีระบบการจัดการที่ดีและเหมาะสมก็อาจจะสามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศหนึ่งที่มีกำลังต่อรองในด้านทุนทางทรัพยากรในอาเซียนได้

    ประเทศเกาหลีใต้  ปัจจุบันเป็นประเทศที่ถูกแสดงความคิดเห็นเชิงลบมากที่สุดเนื่องมาจากกระแสความนิยมเพลงเกาหลีในประเทศไทยที่มีทั้งผู้ที่ชื่นชอบและต่อต้าน  มีการแสดงความคิดเห็นเชิงลบในวิดีโอเพลงเกาหลีหลากหลายประเด็นทั้งในเรื่องการลอกเลียนแบบฝั่งตะวันตก  การไม่ให้เกียรติศิลปินและหยิบยกเรื่องการทำศัลยกรรมมากล่าวอ้างมากกว่าการสนใจคุณภาพของศิลปินและผลงาน  นอกจากนั้นยังนำทัศนคติเชิงลบส่วนตัวต่อศิลปินและกระแสนิยมของเกาหลีมาเชื่อมโยงกับการเมืองและประวัติศาสตร์ชาติซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาวิจารณ์ถกเถียงในที่สาธารณะ
เพราะหากมองย้อนกลับไปในอดีตราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบปีก่อนประเทศเกาหลีใต้ประสบกับปัญหามากมายทั้งการเมือง  เศรษฐกิจและสังคม  แต่กลับมีการพัฒนาปรับปรุงประเทศขึ้นมาอย่างรวดเร็วและค่อนข้างมีคุณภาพที่ดี  ทั้งที่เคยเป็นประเทศที่ตามประเทศไทยมาก่อนแต่ทุกวันนี้เกาหลีใต้กำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำลำดับต้นๆ ของเอเชียและของโลกในด้านต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นด้านระบบการศึกษาที่มีการจัดการและดูแลเอาใจใส่อย่างจริงจัง  ระบบการเมืองที่แทบจะไม่มีการคอรัปชั่นปรากฏให้เห็น  การพัฒนาผังเมืองสาธารณูปการ คมนาคม ที่ทุ่มเทอย่างจริงจังและกฎระหมายบังคับใช้ที่เข้มงวด  และที่สำคัญคือการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมบันเทิงโดยเฉพาะด้านดนตรีที่มีการจัดการที่เป็นระบบและพัฒนาปรับปรุงรูปแบบตลอดเวลา  และท้ายสุดคือการพัฒนาด้านเทคโนโลยีการสื่อสารที่เป็นที่รู้จักทั่วโลกและต้องยอมรับว่ามีอิทธิพลต่อสังคมไทยสูงในระดับหนึ่ง       

                ผลกระทบจากการแสดงความคิดเห็นเชิงลบของคนไทยในสื่อสาธารณะไม่เพียงแต่จะสร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงและสร้างความเข้าใจผิดของต่างชาติต่อคนไทย แต่ยังสร้างความแตกแยกทางความคิดและทัศนคติของคนไทยด้วยกันเอง  เนื่องจากในบางกรณีที่มีการดึงสถาบันชาติ ระดับการศึกษา การเมืองการปกครองและรสนิยมทางเพศและความแตกต่างทางวัฒนธรรมหรือค่านิยมเข้ามาเกี่ยวเนื่อง  ยิ่งสร้างความร้าวฉานทางความคิดให้คนภายในประเทศที่ปัจจุบันมีความแตกแยกทางความคิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว  และยิ่งในสังคมปัจจุบันโลกออนไลน์และโซเชียลมีเดียต่างๆ เข้าถึงคนทุกชนชั้นและทุกพื้นที่อย่างแพร่หลาย  ทุกคนมีอิสระในการใช้สื่อและเข้าถึงทรัพยากรมีเดียต่างๆ  ได้ทั่วโลก
แต่สืบเนื่องจากปัญหาการแสดงความคิดเห็นที่ไม่เป็นประโยชน์ของคนไทยเพียงไม่กี่คนส่งผลให้บางประเทศปิดกั้นสื่อบางอย่างไม่ให้คนไทยเข้าถึงหรือปิดกั้นไว้ใช้ได้ประเทศไทยและแยกการเข้าถึงจากชาติอื่นที่ไม่ก่อปัญหาและสร้างความวุ่นวายไว้ในอีกที่หนึ่ง  แต่นั้นก็ไม่ช่วยทำให้คนไทยบางส่วนที่คุณธรรมจริยธรรมเสื่อมโทรมเกินเยียวยารักษาสำนึกตนเองได้ว่าควรมีการพัฒนายกระดับจิตใจและเคารพให้เกียรติผู้อื่นในการแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะ  และบ่อยครั้งที่ดึงเอาสถาบันและประเด็นที่กระทบต่อความรู้สึกขึ้นมากล่าวอ้างเป็นผลให้เพิ่มปริมาณความรุนแรงในการใช้ถ้อยคำมากยิ่งขึ้น 

                ในมุมมองของคนไทยส่วนใหญ่เมื่อได้พบเห็นพฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นเชิงลบในที่สาธารณะของคนไทยด้วยกันต่อประเทศอื่นๆ  ต่างก็ไม่พอใจในการกระทำเช่นนั้นแต่ก็ไม่สามารถเข้าไปจัดการแก้ไขอะไรได้เพราะการอ้างสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นตามหลักประชาธิปไตย  จนทุกวันนี้มีการแสดงความคิดเห็นเชิงลบแพร่หลายและมีใช้ถ้อยคำภาษาไม่เหมาะสมขึ้นเรื่อยๆ  แต่ก็ไม่ได้รับการยื่นมือเข้ามาแก้ไขจากฝ่ายใดเพราะมองว่าเป็นปัญหาของกลุ่มคนเล็กๆ  ในโลกออนไลน์   โดยลืมตระหนักว่าปัญหาเล็กๆ จากโลกออนไลน์และการสื่อสารนั้นสามารถสะสมและกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้เพราะการเชื่อมต่อและรับสารผ่านทางสื่อออนไลน์หรือเทคโนโลยีต่างๆ มีความรวดเร็วและกว้างไกลเกินกว่าที่หลายคนคาดถึง  และส่งผลกระทบครอบคลุมคนในประเทศโดยรวมได้  ตัวอย่างเช่นกรณี  ภาพยนตร์ที่นำมาลงในเว็บไซต์และเป็นชนวนให้เกิดความสูญเสีย

เป็นเรื่องใหญ่และรุนแรงที่ไม่สามารถควบคุมได้ไปแล้ว กับตัวอย่างหนังเล็กๆ เรื่องหนึ่งที่มีการเผยแพร่ตัวอย่างออกมาทางเว็บไซต์ YouTube และได้ก่อให้เกิดกระแสความไม่พอใจเป็นอย่างมาก ในหมู่ชาวมุสลิมถึงขั้นก่อให้เกิดการประท้วง และก่อเหตุรุนแรงในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศลิเบียมีผู้เสียชีวิตถึง 4 คน รวมถึง คริสโตเฟอร์ สตีเว่นส์ ทูตสหรัฐฯ ประจำลิเบียด้วย
       ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ได้กล่าวประณามการกระทำรุนแรงดังกล่าว และยืนยันว่า ต้องมีคนรับผิดชอบ โดยเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของเหล่าชาวมุสลิมต่อหนังที่มีเนื้อหาลบหลู่ศาสดา นบีมุฮัมมัด ที่มีชื่อเรื่องว่า Innocence of Muslims
       ตามข้อมูล Innocence of Muslims เป็นหนังอิสระที่อ้างว่าใช้ทุนสร้างราว 5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นผลงานของ แซม เบซิล นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชาวสหรัฐฯ เชื้อสายอิสราเอลวัย 50 เศษ ที่สร้างหนังเรื่องนี้เพื่อจุดประสงค์ชัดเจน ในการต่อต้านศาสนาอิสลาม กับการล้อเลียนชีวิตของ นบีมุฮัมมัด ให้ออกมาในรูป ตัวตลก และคนเจ้าชู้ ส่วนภาพของอิสลามก็ถูกโจมตีเป็น ศาสนาจอมปลอม
       หนังไม่เพียงนำเสนอศาสดาของศาสนาออกมาในรูปของคนธรรมดาๆ แต่ยังมีแนวโน้มเป็นพวกรักร่วมเพศ ที่ลืมตาดูโลกขึ้นมาโดยไม่รู้ว่าพ่อของตนเองคือใคร และเจริญรุ่งเรืองขึ้นมากับการส่งเสริมการมีทาสเด็ก และคบชู้ ด้วยข้ออ้างทางศาสนา
       ตัวอย่างหนังที่มีความยาว 14 นาที ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้ผู้ชม รับรู้ถึงความไม่เป็นมืออาชีพของคนสร้าง ทั้งการถ่ายทำด้วยเทคนิคกรีนสกรีนที่ไม่แนบเนียน, คอมพิวเตอร์กราฟฟิกอันด้อยคุณภาพ และการแสดงที่แข็งเป็นท่อนไม้ กลับเป็นงานที่สร้างกระแสขึ้นมาได้อย่างไม่มีใครคาด หลังตัวอย่างดังกล่าวถูกเผยแพร่ในเดือน ก.ค.และถูกสื่อในอียิปต์นำไปพูดถึง ต่อมาถูกแพร่กระจายไปเรื่อยๆ ในประเทศมุสลิม จนทำให้เกิดการประท้วงใหญ่ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะที่ลิเบีย ซึ่งเกิดความรุนแรงขึ้น
       อย่างไรก็ตาม ยังมีคำถามว่าสุดท้ายแล้วหนังเรื่อง Innocence of Muslims มีฉบับเต็มอยู่จริงๆ หรือไม่ หรือมีเพียงตัวอย่าง 14 นาทีนี้เท่านั้น มีกระทั่งคำถามว่า แซม เบซิล มีตัวตนอยู่ จริงหรือไม่? เป็นแค่นามแฝงของใครบางคนเท่านั้น    
ขณะเดียวกัน ขั้นตอนการสร้างหนังเรื่อง Innocence of Muslims ก็เต็มไปด้วยความไม่ชอบมาพากล ข่าวระบุว่า ผู้สร้างบอกทีมงาน และนักแสดงทุกคนว่า หนังมีเนื้อหา และฉากหลังอยู่ในอียิปต์ แต่เมื่อถ่ายทำเสร็จหนังกลับถูกนำมาพากย์เสียงทับ ให้ไปเกี่ยวข้องกับเนื้อหาว่าด้วยเรื่องราวของศาสนาลงไปภายหลัง

       ทีมงาน และนักแสดงทุกคนรู้สึกไม่พอใจกับการโดนเอาเปรียบจากผู้สร้าง พวกเราไม่มีส่วนแม้แต่น้อยกับหนัง ที่มีการบิดเบือนเกี่ยวกับจุดประสงค์ และความมุ่งหมายของมันไป ... เราช็อกเมื่อหนังถูกแก้บทพูด และหลอกลวงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน เรารู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมครั้งนี้   หนึ่งในทีมงานออกแถลงการณ์หลังเกิดเรื่องน่าเศร้าขึ้น
       
ซินดี ลี การ์เซีย ก็เป็นนักแสดงอีกคนที่มีส่วนร่วมในหนัง เธอบอกว่า ได้รับบทหนังที่มีชื่อว่า "Desert Warriors" โดยไม่ทราบเลยว่านี่จะกลายเป็น Innocence of Muslims ในเวลาต่อมา เพราะหนังที่เธอรับเล่นนั้น มีเรื่องราวฉากหลังอยู่ในอียิปต์เมื่อ 2,000 ปีก่อน และตัวละคร มุฮัมมัดก็ถูกเรียกว่า มิสเตอร์จอร์จในการถ่ายทำ
       ถึงตอนนี้ เบซิล ซึ่งยังคงอยู่ระหว่างการหลบซ่อนตัว เพราะเกรงว่าตนจะกลายเป็นเป้าหมายของกลุ่มชาวมุสลิม ล่าสุด เขาได้ออกแถลงการณ์ถึงเหตุที่เกิดขึ้น โดยแสดงความเสียใจที่เกิดเหตุรุนแรง และมีความสูญเสีย แต่ยังคงยืนยันถึงจุดยืนทางการเมืองของตน และเรียกศาสนาอิสลามว่าเป็น “มะเร็งร้าย” พร้อมอ้างว่า Innocence of Muslims เป็นหนังการเมืองไม่ใช่หนังศาสนา
       เบซิล ยังแสดงความเห็น ถึงเหตุร้ายในลิเบียที่ทำให้ทูตสหรัฐฯ เสียชีวิต ว่า เป็นปัญหาของการรักษาความปลอดภัยที่ควรมีการปรับปรุง
          
(เนื้อหาข่าวจาก ; ผู้จัดการออนไลน์ ประจำวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555)


จากข่าวดังกล่าวและสามารถแสดงให้เห็นว่า ความแพร่หลายของสื่อทางระบบอินเตอร์เน็ตทั่วถึงฉันใด  การแสดงความคิดเห็นเชิงลบของคนไทยก็สามารถแพร่หลายไปไกลได้ฉันนั้น   ถึงแม้จะเป็นเพียงกระแสที่เข้ามาแล้วผ่านไปตามกาลเวลา  แต่เมื่อเกิดผลกระทบจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติขึ้นแล้วสิ่งที่ไม่อาจเยียวยาแก้ไขให้เหมือนเดิมได้นั่นก็คือ ความรู้สึกและการรักษาความสัมพันธ์ต่อกันได้อย่างสนิทใจ  และการกระทำจากคนเพียงไม่กี่คนสามารถส่งผลกระทบต่อคนในสังคมวงกว้างได้  ทั้งที่ผู้เริ่มจุดชนวนปัญหาเป็นใครมาจากไหนก็ไม่มีใครทราบแต่แรก  แต่ท้ายสุดการกระทำนั้นก็ได้กลายมาเป็นเหตุแห่งการสูญเสียอย่างที่ไม่ควรจะเกิดต่อผู้ไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำดังกล่าว  แต่กลับได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเพียงเพราะการนำเสนอทัศนคติและความคิดเห็นเชิงลบต่อศาสนาของบุคคลหนึ่งเพียงเท่านั้น

เช่นเดียวกันกับปัญหาการแสดงความคิดเห็นเชิงลบของคนไทยบางคนต่อต่างชาติในที่สาธารณะ สะท้อนให้เห็นว่าคุณธรรมจริยธรรมและกระบวนการคิดของคนในสังคมไทยปัจจุบันเสื่อมถอยลงไปมากและไม่รู้จักการแยกแยะวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล  ไม่รับเปิดใจฟังความคิดเห็นผู้อื่น มักใช้แต่อารมณ์และอคติในการตัดสินและพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัว  และแสดงความคิดเห็นเชิงลบออกมาอย่างไม่ให้เกียรติผู้อื่นทั้งคนไทยด้วยกันเองและคนต่างชาติ  สุดท้ายก็จะกลายเป็นปัญหาทางความรู้สึกสะสม  และอาจสร้างความร้าวฉานภายในประเทศและระหว่างประเทศได้ในที่สุด
เพราะถ้ามองจากภาพรวมของประเทศไทยเวลานี้แล้วอัตราการพัฒนาด้านสังคมโดยรวมยังย่ำอยู่กับที่ต่างจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น ในกลุ่มอาเซียนที่กำลังมีการพัฒนาขึ้นในหลายด้าน โดยเฉพาะด้านการศึกษา ที่มีการสนับสนุนให้ประชาชนในประเทศสื่อสารได้หลายภาษาเพื่อรองรับการเปิดประเทศในขณะที่ประเทศไทยถึงแม้ว่าจะมีการกำหนดนโยบายรองรับการเปิดประชาคมอาเซียนเช่นเดียวกัน  แต่ในทางปฏิบัติจริงนั้นกลับเน้นไปที่การพัฒนาตัวนโยบาย  สังคมและเบื้องหน้าต่างๆ ให้ต่างชาติเห็นมากกว่าการพัฒนาที่เป็นประโยชน์อย่างยั่งยืน  นั่นก็คือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้นอกกจากจะมีความรู้ความสามมารถในการเรียนและการทำงานแล้ว ยังต้องมีความรู้ความเข้าใจในการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุขด้วยความมีระเบียบวินัยในตนเอง  และปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมที่ไม่สามารถหาได้จากในบทเรียนที่สับเปลี่ยนไปมาตามยุคสมัยและค่อยๆ กลืนเอาวัฒนธรรม ค่านิยมต่างชาติเข้ามาบดบังวัฒนธรรมและค่านิยมดั้งเดิมอันดีงามของไทย  โดยแฝงอยู่ในบทเรียนอย่างแยบยล

ถ้าย้อนกลับไปในสมัยที่เทคโนโลยียังไม่มีความแพร่หลายดังเช่นในปัจจุบัน  การเรียนการสอนในทุกรายวิชาของไทย ล้วนมีการสอดแทรกคุณธรรมจริยธรรมอย่างกลมกลืนเสมอ  จนกระทั่งเริ่มมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงนโยบายในด้านต่างๆ  และให้ความสำคัญการเรียนการสอนเพื่อพุ่งเป้าไปที่การแข่งขันในสังคมไม่ใช่เพื่อการนำความรู้และคุณธรรมที่ได้รับการปลูกฝังไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตดังเช่นที่เคยเป็นมาตลอดระยะเวลาที่การศึกษาไทยเป็นการศึกษาเพื่อเสาะหาความรู้ไม่ใช่เพียงหน้าที่พึงปฏิบัติในทัศนคติของเด็กและเยาวชนในปัจจุบัน

การเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษาแบบเก่าของไทยส่งผลกระทบต่อคุณธรรมจริยธรรมของคนไทยโดยที่คนส่วนใหญ่อาจไม่เคยรู้ตัวและเล็งเห็นถึงต้นตอของปัญหาสังคมด้านนี้  ปัญหาในมุมเล็กๆ เมื่อมีการสะสมก็จะค่อยๆ รวมตัวเป็นปัญหาใหญ่  กล่าวคือ  การปรับระบบและหลักสูตรการเรียนการสอนของไทยตามกระแสโลกาภิวัฒน์  กระแสนิยม หรือไม่ว่ากระแสใดๆ ก็ตาม  ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงไปแบบก้าวกระโดดไม่ใช่แบบค่อยเป็นค่อยไป  ปัญหาเล็กๆ ประการแรกที่ตามมาก็คือ ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยของคนในครอบครัว  เมื่อหลักสูตรการเรียนเปลี่ยนเนื้อหาไปทั้งระบบผู้ปกครองก็จะเข้าถึงและช่วยสอนหรือให้คำแนะนำบุตรหลานได้ยากขึ้น  จะเห็นได้จากครอบครัวในปัจจุบันมักจะสนับสนุนให้บุตรหลานเข้าเรียนพิเศษหรือเรียนเสริมนอกเวลาตั้งแต่ประถม   ส่วนหนึ่งก็มาจากการการที่ผู้ปกครองไม่สามารถเข้าถึงบทเรียนและให้ความช่วยเหลือบุตรหลานในการเรียนได้ดังเช่นในอดีต  ส่งผลให้ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเริ่มมีช่องว่างและอาจจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  เมื่อบุตรหลานได้รับการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น  และเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มักจะเชื่อฟังและรับฟังแต่คนที่มีความรู้และน่าเชื่อถือมากกว่า  และเมื่อครอบครัวเกิดช่องว่างที่คนในครอบครัวโดเฉพาะผู้ปกครองไม่คิดที่จะแก้ไขหรือให้ความใกล้ชิดอบรมบ่มนิสัยอย่างมีเหตุผลและสร้างความน่าเชื่อถือและเป็นที่เคารพให้กับบุตรหลาน  การเกิดพฤติกรรมเบี่ยงเบนก็จะเป็นไปได้ง่ายและหล่อหลอมจนติดเป็นนิสัยส่วนตัว
และเมื่อเกิดปัญหาจากสถาบันที่เล็กที่สุดในสังคมอย่างสถาบันครอบครัวโอกาสที่จะขยายตัวเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมก็คงไม่ใช่เรื่องยากมากไปกว่าการกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาที่เกิดภายหลัง

                เนื่องจากครอบครัวไทยสมัยก่อนอยู่ร่วมกันแบบครอบครัวขยาย  การปลูกฝังคุณธรรมและค่านิยมดั้งเดิมที่ถูกที่ควร  ซึ่งคนในสังคมสมัยใหม่อาจให้คำนิยามว่า โบราณ  หรือ  บ้านนอก   แต่นั่นกลับเป็นสิ่งที่หล่อหลอมความเป็นมนุษย์และจิตใจอันดีงามที่สังคม โมเดิร์น  หรือ ในเมือง  ไม่สามารถให้ได้ดีเท่า
ถ้าการพัฒนาระบบการศึกษาหรือพัฒนานโยบายต่างๆ  เน้นไปที่การพัฒนาระบบและการจัดการมากกว่าผู้ใช้หรือตัวทรัพยากรมนุษย์  ก็คงไม่ต่างจากการเปิดผ่านหน้าหนังสือโดยไม่ได้อ่านทำความเข้าใจและจดบันทึกเพิ่มที่เป็นประโยชน์ต่อตัวผู้อ่านในปัจจุบันจนถึงภายภาคหน้าลงไป

                การกำหนดนโยบายและแผนพัฒนาของไทยที่เคยมีมา ถึงแม้จะมีการกำหนดนโยบายและแนวทางการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ  ไว้หลากหลายด้าน  รวมไปถึงด้านการจัดการทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพไว้อย่างชัดเจน  มีการกำหนดนโยบายอีกทั้งระดมทุนและงบประมาณเพื่อส่งเสริมการศึกษา  การประกอบอาชีพและสวัสดิการต่างๆ มากมาย  แต่ผลที่ได้กลับมาเป็นเพียงผลกำไร  หน้าที่การงาน  และปัจจัยอื่นๆ ในชีวิตมนุษย์  หล่อหลอมสังคมให้กลายเป็นสังคมแห่งความฟุ้งเฟ้ออยากได้อยากมี  จนละทิ้งคุณธรรมจริยธรรมที่พึงมีของคนไทยในการดำเนินชีวิตและอยู่ร่วมกันในสังคม  เกิดเป็นปัญหาที่ต่างคนต่างมองและวิพากษ์วิจารณ์ด้วยอคติและอารมณ์   โดยยกให้เป็นความผิดของต่างชาติที่เข้ามามีอิทธิพลและสร้างกระแสนิยมให้คนไทยขาดความรักชาติและสนับสนุนต่างชาติ  ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขาดดุลสังคมไทยแตกแยกและโยงใยปัญหาต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างไม่รู้ที่มาที่ไป   ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการคิดที่เริ่มจะล้มเหลวของคนไทยบางส่วนที่จ้องแต่จะโจมตีภายนอกโดยปราศจากการแก้ไขปัญหาและและเสริมสร้างคว้าเข้มแข็งเป็นปึกแผ่นจากภายในก่อน  ถ้าขืนปล่อยทิ้งไว้ในอนาคตไทยอาจจะถูกมองจากภายนอกว่าเป็นประเทศที่แก้ไขปัญหาโดยการเจรจาด้วยเหตุผลไม่ได้  ทุกอย่างต้องผ่านกระบวนการความขัดแย้งก่อนจึงจะได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ
                ลักษณะนิสัยของคนไทยในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากเนื่องด้วยปัจจัยใดก็ตามถือว่าเป็นตัวแปรหลักที่ทำให้สังคมไทยตกอยู่ในสภาวะที่ขาข้างหนึ่งก้าวสู่ความทันสมัย ก้าวสู่อาเซียน ในขณะที่ขาอีกข้างกำลังก้าวถอยหลังตามแรงดึงของคุณธรรมจริยธรรมที่กำลังลดน้อยลง   ในการกำหนดนโยบายแก้ไขปัญหาของประเทศไทย ณ เวลานี้ควรเริ่มจากการหันกลับมาดึงขาข้างคุณธรรมจริยธรรมให้ก้าวนำขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ

                การพัฒนาที่แท้จริงควรเริ่มจากการพัฒนาความคิดและจิตใจของปัจเจกชนก่อนเป็นสำคัญ  และค่อยๆ พัฒนาด้านต่างๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป  เรียนรู้การแก้ปัญหาจากประสบการณ์ความผิดพลาดเดิมและสานต่อสิ่งที่เป็นประโยชน์   การเปิดรับค่านิยมและวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาปรับใช้ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องผิดเพียงแค่รู้จักรักษาค่านิยมและวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ดีงามของไทยไว้  เพราะถ้าหมดสิ้นสิ่งเหล่านี้ไปประเทศไทยก็คงไม่ต่างอะไรกับประเทศที่ตกเป็นเมืองขึ้นทางกระแสนิยมของชาติอื่น
                การแสดงความคิดเห็นในที่สาธารณะก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดเช่นกัน  เพียงแต่ต้องไตร่ตรองให้รอบคอบและรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา  เรื่องบางเรื่องควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจทำหรือแสดงความคิดเห็นออกไป ไม่ควรทำเพียงเพราะความคึกคะนองเพราะบางครั้งผลกระทบอาจไม่ได้ตกอยู่ที่ใครคนใดคนหนึ่งโดยตรง บางครั้งการแสดงความคิดเห็นก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมและกระบวนการคิดของคนในประเทศนั้นๆ  เพราะการไม่แสดงตัวตนชัดเจนบางครั้งอาจถูกเหมารวมให้ถือว่าเป็นการรับผิดชอบร่วมกัน 

                ปัญหาใหญ่มักจะเริ่มต้นจากจุดเล็กๆ ก่อนเสมอ  ในการพัฒนาแก้ไขปัญหาในสังคมก็เช่นกัน ควรเริ่มจากการพัฒนาแก้ไขที่ตัวบุคคลก่อนที่ตัวบุคคลนั้นๆ จะเป็นผู้เข้ามาแก้ไขปัญหาและพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป
ดังนั้นปัญหาสังคมที่สำคัญและไม่ควรมองข้ามที่สุด ไม่ใช่ปัญหาด้านการศึกษา  เศรษฐกิจหรือสังคมแต่อย่างใด  แต่เป็นปัญหาด้านคุณธรรมจริยธรรม จิตใจ และกระบวนการคิดของมนุษย์  หากประเทศไทยสามารถป้องกันและพัฒนาแก้ไขปัญหาด้านนี้ได้  คำถามที่ว่า เหตุใดสังคมไทยจึงไม่พัฒนา?  ก็จะหมดไป  เพราะปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ได้ถูกพัฒนาแล้ว..

ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ:นายปฏิวัติ ทาฟอง 53242124


ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ

ป่าไม้จัดเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างมากต่อประเทศชาติ  เป็นทรัพยากรที่สร้างขึ้นได้ยากใช้เวลานาน  ในขณะที่การทำลายป่าไม้เป็นไปได้โดยง่ายและรวดเร็ว  หากเปรียบเทียบถึงการมีทรัพยากรป่าไม้ที่สมบูรณ์กับสภาพกับการขาดแคลนป่าไม้  คงจะเปรียบเทียบได้กับประเทศไทยเมื่อ  50  ปีที่แล้วกับปัจจุบัน  กล่าวคือในอดีต  ประเทศไทยมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์  ไม้เป็นสินค้าที่ทำรายได้หลักของประเทศอย่างหนึ่ง  ป่าไม้ให้ความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า  เป็นต้นน้ำลาธาร  ประชาชนแสวงหาปัจจัยในการดำรงชีวิตต่างๆ  ได้จากป่าไม้  แต่สภาพป่าไม้ในปัจจุบันนี้ถูกทำลายเรื่อยมาจนเหลือประมาณร้อยละ 33 ของพื้นที่ที่ดินประเทศไทย เมื่อเทียบกับเนื้อที่ป่าเมื่อ 50 ปีที่ผ่านมาจะมีเนื้อป่าลดลงไปถึงร้อยละ 50 ของที่เคยมีละมีแนวโน้มลดลงไปอีก  การทำลายป่าไม้นั้นก่อให้เกิดการเสียสมดุลย์ตามธรรมชาติและก่อให้เกิดผลเสียหายติดตามมา  เช่น  อุทกภัย  วาตภัย  ฝนแล้ง  ภาวะขาดแคลนวัตถุดิบเพื่อการพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรม  เป็นต้น  ปัญหาดังกล่าวได้รับการสนใจตลอดมา  และมีการผลักดันให้ดำเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้และป้องกันการบุกรุกทำลายป่าไม้   ปัญหานี้ได้รับการกระตุ้นจากกรณีที่เกิดอุทกภัยน้ำท่วมภาคใต้เมื่อปลายปี  พ.ศ.  2531  ส่งผลให้รัฐบาลสั่งยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศ  และกรมป่าไม้ก็มีนโยบายเข้มงวดมากขึ้นกับผู้บุรุกป่าสงวนแห่งชาติ  ทั้งนี้ด้วยมูลเหตหลายประการ เช่นความอ่อนแอของหน่วยงานที่รับผิดชอบ การชักนำราษฏรมาจับจองที่ดินจากผู้มีอิทธิพล สิ่งที่ผู้เขียนต้องการเขียนบทความนี้ขึ้นเพื่อให้ทราบถึง  ปัญหา  สาเหตุ  และ ผลกระทบของการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ  และเพื่อให้ผู้อ่านเห็นความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติมากขึ้น
               
"ป่า" หมายความว่า ที่ดินรวมตลอดถึง ภูเขา ห้วย หนอง คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะ และที่ชายทะเลที่ยังมิได้มีบุคคลได้มาตาม กฎหมาย
         "ป่าสงวนแห่งชาติ" หมายความว่า ป่าที่ได้กำหนดให้เป็นป่าสงวน แห่งชาติตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507
        ป่าสงวนแห่งชาติ คือป่าที่พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองป่า พ.ศ. ๒๔๘๑ ประกาศว่าเป็นป่าสงวนและป่าคุ้มครอง ส่วนป่าสงวน อีกกรณีหนึ่งเป็นป่าซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ออกกฎกระทรวงให้เป็นป่าสงวนแห่งชาติ โดยพิจารณาจากความจำเป็นเพื่อการรักษาสภาพป่าไม้ ของป่าหรือทรัพยากรธรรมชาติอื่น และในกฎ กระทรวงดังกล่าวจะต้องมีแผนที่แสดงแนวเขตของป่าสงวนไว้ด้วย อีกทั้งเมื่อประกาศแล้ว ต้องปิดประกาศสำเนากฎกระทรวงไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอหรือกิ่งอำเภอ ที่ทำการกำนัน และในหมู่บ้านในเขตที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ประชาชนทราบ
        การประกาศพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาตินั้น มีข้อห้ามว่าต้องไม่เป็น ที่ดินของเอกชนที่มีสิทธิครอบครองอยู่แล้วก่อนที่จะมีการประกาศเป็นเขตป่าสงวนแห่งชาติ ซึ่งโดยทั่วไปจะเป็นที่รกร้างว่างเปล่า หรือเป็นที่ที่อยู่ในความครอบครองของรัฐหรือทบวงการเมือง
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ในปัจจุบันชาวบ้านบางหมู่บ้านทำกินอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติและมีปัญหาพิพาทว่า ตนเคยอาศัยอยู่ในบริเวณ ดังกล่าวโดยชอบก่อนที่จะประกาศว่าเขตนั้นเป็นเขตป่าสงวน ซึ่งในกรณีนี้ เป็นปัญหาที่จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าเป็นความจริงเช่นไร ซึ่งถ้าเป็นความจริงอาจเป็นเพราะข้อบกพร่องในช่วงการสำรวจ ซึ่งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถสำรวจได้ครบทุกพื้นที่ได้ จึงประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติทับที่ของราษฎร ซึ่งทางแก้ก็จะต้องเพิกถอนเขตดังกล่าวออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ถ้าไม่เป็นความจริง ราษฎรหมู่บ้านนั้นจะต้องอพยพออกจากพื้นที่ป่าสงวนดังกล่าวเว้นแต่จะเข้าเงื่อนไข ที่จะได้รับสิทธิทำกินตามพระราช-บัญญัตินี้
        แนวคิดในการอนุรักษ์ป่าสงวนแห่งชาติ คือการสงวนและรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรป่าไม้ เพื่อประโยชน์ในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่าเป็นป่าสงวนไว้ เพื่อใช้ประโยชน์จากป่าในเชิงเศรษฐกิจ และนำผลประโยชน์จากป่าไม้มาเพื่อการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ และให้มีการใช้ประโยชน์นานที่สุดจนถึงลูกหลาน ดังนั้น กฎหมายจึงมีทั้งการห้ามมิให้บุกรุก หรือหาของป่า หรือเข้าไปก่อสร้างในเขตป่าสงวน แต่ถ้าเป็นพื้นที่ป่าดังกล่าวในเขตที่เรียกว่า ป่าเสื่อมโทรม ทางกรมป่าไม้ก็อาจอนุญาตให้ราษฎรที่ไม่มีที่ดินทำกินเข้าทำกินได้โดยไม่สามารถถือเอากรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองได้ หรืออาจจะให้เอกชน เข้ามาปลูกป่าทดแทนได้เพื่อพัฒนา ฟื้นฟูสภาพป่าไม้ให้ดีขึ้น นอกจากนี้ การศึกษาทางวิชาการอันจะนำไปสู่การพัฒนาทางระบบนิเวศน์ หรือการพัฒนาพันธุ์พืช เจ้าพนักงานป่าไม้มีสิทธิอนุญาตให้บุคคลเข้าไปในป่าเพื่อศึกษาได้
        กรณีที่ถือว่าเป็นการบุกรุก หรือทำลายสภาพป่าสงวนแห่งชาติ มีกำหนดไว้ในพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๔-๒๐ มีหลักสำคัญดังนี้
        ๑) กระทำต่อต้นไม้ ดิน หิน กรวด ทราย แร่และน้ำมัน พืช สัตว์ต่างๆ หรือซากสัตว์ ซึ่งอยู่ในเขตป่าสงวนนั้น
        ๒) ทำไม้ ซึ่งรวมถึง การตัด ขุด หรือชักลากไม้ที่มีอยู่ในป่า หรือนำไม้ที่อยู่ในป่าออกมาจากป่าสงวนแห่งชาติ ไม่ว่าไม้นั้นจะเป็นไม้ หวงห้ามตามกฎหมายป่าไม้หรือไม่ก็ตาม เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจาก เจ้าพนักงาน
        ๓) เก็บหาของป่า ได้แก่ การเก็บไม้ฟืน เปลือกไม้ หิน ซากสัตว์ น้ำผึ้ง มูลค้างคาว เป็นต้น เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน
        ๔) เข้าไปยึดถือ ครอบครอง ทำประโยชน์ หรืออาศัยอยู่ แผ้วถาง เผาป่า หรือทำให้เกิดการเสื่อมสภาพของป่า โดยไม่ได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
        ๕) กรณีที่ราษฎรอาจได้รับการอนุญาตให้เข้าไปทำกินได้ ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ได้แก่ การให้สิทธิทำกิน การอนุญาตให้ปลูกป่า หรือทำสวนป่า ในเขตป่าเสื่อมโทรม หรือการอนุญาตให้เข้าทำประโยชน์เกี่ยวกับการทำเหมืองแร่หลังจากที่สัมปทานตามกฎหมายแร่ เป็นต้น
        ผู้ฝ่าฝืน หลักการข้างต้น ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ห้าพันบาทถึงห้าหมื่นบาท แต่ผู้กระทำจะต้องได้รับโทษจำคุกหนักขึ้น โดยต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นบาท ถ้าได้กระทำการบุกรุก มีเนื้อที่เกินยี่สิบห้าไร่ หรือก่อให้เกิดความเสียหายแก่ไม้สัก ไม้ยาง ไม้ สนเขา หรือไม้หวงห้ามประเภท ข. ตามกฎหมายป่าไม้ หรือกระทำต่อไม้อื่นๆ ซึ่งมีจำนวนต้นหรือท่อน รวมกันเกินยี่สิบต้นหรือท่อน หรือมีปริมาตรไม้เกินสี่ลูกบาศก์เมตร หรือกระทำต่อต้นน้ำลำธาร (พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ มาตรา ๓๑)
        กรณีที่จะถือว่าเป็นต้นหรือท่อนนั้น ต้องมีขนาดใหญ่พอสมควร ถ้าเป็นเพียงเศษไม้เล็กไม้น้อยที่มีลักษณะเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ไม่ถือว่าเป็น ต้นหรือท่อน (ฎีกาที่ ๓๑๐๓/๒๕๓๒)
        นอกจากนี้ ผู้นั้นจะต้องถูกสั่งให้ออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ (รวมถึงครอบครัวและบริวารด้วย) ถ้าศาลพิพากษาว่ามีความผิด อีก ทั้งยังถูกริบเครื่องมือ ยานพาหนะ เครื่องจักร เครื่องกล เช่น เลื่อย รถแมคโคร ขวาน มีด เป็นต้น เว้นแต่ทรัพย์สินดังกล่าวจะเป็นของผู้อื่นที่ไม่รู้เห็นเป็นใจ เช่น เป็นรถที่เช่าซื้อมาจากบริษัทที่เป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ และบริษัทดังกล่าวไม่รู้เห็นถึงการที่จะนำรถไปกระทำความผิด บริษัทมีสิทธิขอรถที่ถูกริบไว้คืนได้ ภายใน ๑ ปี นับแต่วันที่มีคำพิพากษา ให้ริบ
               
ส่วนสาเหตุที่ทำให้เกิดการบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนเกิตจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น  
1)            การบุกรุกอันเกิดจากราษฏร
ก.      การเพิ่มขึ้นของประชากร  ในระยะ 50  ปีที่ผ่านมา  ประเทศไทยมีจำนวนการเพิ่มขึ้นของประชากรค่อนข้างสูง  สิ่งที่เป้นผลตามาคือ  ความต้องการหาที่ทำกินและที่อยู่อาศัยก้เพิ่มากขึ้นตามไปด้วย  จากจำนวนประชากรที่มีเพิ่มมากขึ้นนี้  เมื่อถึงวัยทำงานแล้วจะมีทางออกอยู่  3  ทางในการทำมาหากิน  คือ  ทำเกษตรกรรม  ทำงานรับจ้าง  ทำงานด้านบริการ  หากไม่สามารถหาทางออกในการเลี้ยงชีพได้ก็เป้นผู้ที่ว่างงานไป  สำหรับประเทศไทยพื้นฐานเดิมประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม  ฉะนั้นทางเลือกแรกของประชากรส่วนใหญ่มักจะเลือกอาชีพเกษตรกรรม  แต่ก็ไม่อาจจะเป็นเกษตรกรได้ทั้งหมด  เพราะจำกัดในเรื่องพื้นที่ทำกินมีจำกัด  ดังนั้น  ประชากรส่วนที่เหลือจากเกษตรจึงโยกย้ายไปทำงานรับจ้างซึ่งส่วนมากอยู่ในภาคอุตสาหกรรมและอีกส่วนหนึ่งก็หันไปทำงานด้านบริการ  สำหรับงานรับจ้างและงานบริการนั้นใช้พื้นที่ในการทำงานน้อย  แต่ภาคเกษตรกรรมมีความจำเป็นในการใช้พื้นที่เพื่อการเพาะปลูกค่อนข้างมาก  ดังนั้น  เมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้น  และสว่นหนึ่งก็เลือกประกอบอาชีพเกษตรกร  พื้นที่ต้องการใช้การเพาะปลูกก็ต้อการเพิ่มมากขึ้น  จึงเกิดการแสวงหาที่ทำกินใหม่ในอีดตที่ใดรกร้างว่างเปล่าราษฎรก้สามารถเข้าไปบุกเบิกจับจองใช้เพาะปลูกได้อย่างอิสระ  ปัจจุบันพื้นที่ว่างเปล่าแทบจไม่มีเหลือ  ยกเว้นที่สาธารณะ  เช่น  ป่าสงวนแห่งชาติ  เป็นต้น
ข.      ราษฎรมีระดับการศึกษาต่ำ  หรือมีอัตราคนไม่รู้หนังสือมาก  นับว่าเป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่  ๆ  หลายประการ  เช่น  ก่อให้เกิดปัญหาอัตราการเกิดของประชากรสูง  ปัญหาการขาดระเบียบวินัยและไม่เคารพกฎหมาย  ปัญหาง่ายต่อการถูกปลุกระดม  และปัญหาเรื่องการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ  ในประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่  ป่าไม้จะเป็นของรัฐบาล  รัฐจะเป็นเจ้าของทรัพยากร  อันเป็นสมบัติสว่นรวมของชาติ  แต่จากที่ประชาชนได้รับการศึกษาน้อยในประเทศกำลังพัฒนา ทำให้ประชาชนคิดว่า  เมื่อป่าไม้เป็นของรัฐ  ก็ควรจะส่วนกลางของราษฎรทุกคน    ฉะนั้นทุกคนจึงควรจะได้รับสิทธิในป่าซึ่งเป็นของรัฐนั้น  ดังนั้นเมื่อราษฎร ต้องการที่ดินสำหรับทำการเพาะปลูก  จึงบุกรุกเอาเนื้อที่ป่าไม้เป้นที่ดินทำกินของตน  โดยไม่คำนึงถึงกฎหมายแม้ว่าจะได้รับการตักเตือนแล้วก็ตาม  หรือการศึกษาต่ำ  ทำให้ไม่เข้าใจถึงความหมายจากการทำลายป่าที่เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร  หรือภัยจากความแห้งแล้งเมื่อป่าถูกทำลาย
ค.      ราษฎรส่วนใหญ่มีอาชีพทางการเกษตร  นับว่าการทำกสิกรรมในประเทศด้อยพัฒนา  หรือกำลังพัฒนามีส่วนในการทำลายป่าไม้  ทั้งนี้  เพราะราษฎรยังใช้วิธีการเพาะปลูกแบบดั้งเดิมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณ  การเพิ่มผลผลิตให้สูงขึ้นมักจะกระทำโดยการขยายพื้นที่ให้มากขึ้น  การขยายพื้นที่เพราะปลูกมักจะนิยมโดยการบุกร้างถางป่า  เพราะราษฎรถือว่าป่าเป็นของสาธารณะและเป็นพื้นที่เพาะปลูกที่มีสภาพดินอุดมสมบูรณ์เหมาะกับการทำการเกษตร  ป่าที่ถูกบุกร้างถางใหม่  ๆ  พื้นดินยังไม่มีการปรับให้ราบเรียบจึงยังทำนาได้ไม่ดี  ราษฎรมักจะเลือกปลูกพืชไร่  และพืชไร่ที่นิยมปลูกคือ  มันสำปะหลังซึ่งเป็นพืชที่ต้องการแร่ธาตุในดินมาก  จึงทำให้ดินเสื่อมความอุดมสมบูรณ์ลงอย่างรวดเร็วกว่าปกติ
2)            การบุกรุกเนื่องจากผู้มีอิทธิพล 
ก.      การหาผลประโยชน์ผลประโยชน์ของผู้มีอิทธิพลต้องอาสัยราษฎรเป็นสำคัญ  การชี้ป่าสงวนแห่งชาติจะมีราษฎรเป็นคนซื้อ  การขายมีการชักชนราษฎรมาจากภาคอีสาน  บางครั้งมีการนำรถยนต์ไปรับมาเป็นคันรถเพื่อให้ราษฎรมาซื้อป่าบุกเบิกเป็นที่ทำกิน  นอกจากผู้มีอิทธิพลจะได้เงินจากการขายป่าสงวนแล้ว  ยังใช้ราษฎรเป็นเครื่องมือในการสร้างฐานอำนาจ  คือ  ถ้าจำนวนราษฎรไปอาศัยอยู่มากเท่าไร  ก็จะเป็นเงื่อนไขในการต่อรองในการขับไล่หรือดำเนินตามกฎหมาย  ราษฎรเมื่อเสียเงินไปแล้วก็จะดิ้นรนต่อสู้  ถ้าจะมีการให้อพยพหรือย้ายไปอยู่ที่อื่น  ทั้งนี้เพราะราษฎรส่วนมากขายที่ดินและบ้านเดิมไปหมดแล้วและมาปักหลักตั้งฐานที่นี่  ดังนั้น  เมื่อมีการดำเนินการจากทางรัฐบาล  ราษฎรเหล่านี้มักจะไม่ยอมหรือดื้อดึงต่อกฎหมาย  เบื้องหลังของปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ผู้มีอิธิพลจะเป็นผู้สนับสนุนชี้นำให้ชาวบ้านขัดขืนต่อกฎหมาย
ข.      นายทุนรับซื้อไม้เถื่อน  นายทุนโรงเลื่อยจะรับซื้อไม้เถื่อนจากผู้มีอิทธิพลในป่าสงวนฯ  โดยมีชาวบ้านผู้เลื่อยไม้แปรรูปให้กับผู้มีอิทธิพล  โดยมากจะมีการเลือกตัดไม้ที่มีค่าหรือไม้หวงห้าม  หรือไม้สงวนเพราะไม้เหล่านี้ราคาสูงและหายาก  เช่น  ไม้แดงจีน  ที่นำมาทำเฟอร์นิเจอร์  ถัดจากไม้มีค่าก็จะตัดไม้ขนาดใหญ่ที่ตลาดต้องการ  บางหมู่บ้านนายทุนจะเข้าไปติดต่อซื้อไม้โดยตรงจากชาวบ้าน  โดยการซื้อขาย  นายทุนจะรับผิดชอบโดยการขนไม้โดยนำรถเข้าไปขนไม้เถื่อนเอง  สำหรับชาวบ้านจะได้เงินจากการทำไม้เถื่อนจำนวนไม่น้อย  จะพบว่า  พื้นที่ที่ถูกบุกร้างถางป่าเพื่อใช้ปลูกพืชไร่นั้น  เมื่อเทียบกับจำนวนราษฎรที่อาศัยอยู่  ผลผลิตที่ได้ไม่น่าจะพอเพียงกับการเลี้ยงชีพของราษฎรเหล่านั้น  แต่ถ้าพิจารณาถึงชีวิตความเป็นอยู่  จะพบว่า  หลายครอบครัวมีโทรทัศน์ดู  มีรถจักรยานยนต์  ผู้มีอิทธิพลมีรถยนต์ขับ  เป็นต้น  หากเป็นการทำไร่ตามปกติ  สิ่งอำนวยความสะดวกที่มีราคาสูงเช่นนี้คงจะหาซื้อมาได้ยาก  คำตอบของแหล่งเงินก็น่าจะไม่พ้นเรื่องการค้าไม้เถื่อนกับนายทุน
3)            การบุกรุกอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ แม้การประกาศอนุรักษ์และกำหนดเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยรัฐบาลแล้วก็ตามแต่ การบุกรุกพื้นที่ป่านั้นยังคงมีขึ้น ทั้งๆที่มีเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้รับผิดชอบและดูแลอยู่ก้ตาม  อาจด้วยปัจจัยหลายๆสิ่งที่ทำให้  การดุแล และ ปราบปรามผู้บุกรุกพื้นที่ป่าสงวนไม่ได้ผลเท่าที่ควร ประกอบด้วย
ก.      จำนวนเจ้าหน้าที่ ไม่พอตอการดูแลพื้นที่ป่าที่มีมากกว่าเจ้าหน้าที่ จึงทำให้การดูแลเป็นไปอย่างล่าช้า
ข.      งบประมาณที่มีขีดจำกัด หรืองบประมาณที่ได้มาน้อยเกินไป ไม่พอกับการตรวจตราผู้กระทำผิดในพื้นที่  เช่น การเบิกจ่ายเพื่อเติมเชื้อเพลิงในการทำการตรวจพื้นที่ป่า
ค.      เจ้าหน้าที่ขาดแคลนเครื่องมือและอาวุธ เนื่องจากเครื่องมือและอาวุธที่ด้อยกว่าผู้กระทำความผิด  จึงทำให้ผู้กระทำผิดอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ  การปราบปรามจึงไม่ค่อยได้ผล
ง.       อิทธิพลของผู้ค้าไม้  ซึ่งถ้ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวก็จะถูกลอบทำร้ายหรือถูกข่มขู่จึงทำให้ไม่มีเจ้าหน้าที่ ที่จะกล้าปราบปราม
จ.       ปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ที่หากินกับราษฏรที่บุกรุกพื้นที่ป่า โดยการข่มขุ่ ราษฏรให้จ่ายเงินให้เจ้าหน้าที่เพื่อเป็นการ  ผ่อนผันให้มีการสร้างที่อาศัยอยู่ เป็นต้น
4)            การบุกรุกอันเกิดจากนโยบายของรัฐ  เช่น
ก.      นโยบายการให้สัมปทานทำไม้ คือการที่รัฐให้ภาคเอกชนและหน่วยงานรัฐเป็นผู้ทำไม้ขาย  โดยกำหนดเงื่อนไขต่างๆ สิ่งที่สำคัญคือ  การกำหนดให้ตัดไม้ที่มีขนาดใหญ่ก่อนแล้วปลูกต้นไม้ทดแทนและเคลื่อนย้ายไปตัดต้นไม่ใหญ่ในแปลงอื่นๆ  ต่อไปเรื่อยๆและปลูกต้นไม้ทดแทนเช่นกัน
ข.      นโยบายเกี่ยวกับการปลูกป่าภาคเอกชนเป็นต้น ซึ่งเป็นการปลูกป่าเชิงพาณิชย์ ส่วนมากจะปลูกไม้ยูคาลิปตัสเนื่องจากเ)นไม้ที่โตเร็ว สามารถขายได้เร็ว เมื่อตัดไปแล้วสภาพป่าก็จะหมดไป ไม่การปลูกจำพวกไม้ยืนต้น เช่น ไม้สัก  ไม้เต็ง  ไม้แดง ฯลฯ อีกตัวอย่างหนึ่งคือ
ค.      นโยบายการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อสร้างเขื่อน  อ่างเก็บน้ำ   โดยการก่อสร้างนี้บุรุกเข้าไปในเขตพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ
เป็นต้น
เมื่อป่าไม้ถูกทำลายจนลดลงเหลือเพียงส่วนน้อยแล้วจะเกิดผลกระทบที่ติดตามมาหลายด้านด้วยกัน  ซึ่งผลกระทบเหล่านี้จะเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน ปัญหาพื้นฐานของประเทศหลาย  ๆ  ประการเกิดจากมูลเหตุอันเนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่า  ซึ่งเกิดก่อให้เกิดการสูญเสียภาวะสมดุลย์ตามธรรมชาติ  และส่งผลต่อภาวะทางสังคมในภายหลัง  ผลกระทบที่เกิดขึ้นมานี้อาจแยกได้เป็น  3  ทาง  คือ
                                2.1  ผลกระทบทางนิเวศน์วิทยา
                                2.2  ผลกระทบทางการบริโภคของประชาชนในท้องถิ่น
                                2.3  ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้
                ผลกระทบทั้ง  3  ทางนี้  จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบต่าง  ๆ  ในระดับมหภาค  คือ  กระทบต่อการเมืองการปกครอง  ต่อเศรษฐกิจ  และจิตวิทยาสังคม  ซึ่งผลกระทบดังกล่าวอาจพิจารณาในประเด็น  ดังนี้
                                2.1  ผลกระทบทางนิเวศน์วิทยา  เมื่อป่าไม้ถูกทำลายจนเหลือน้อย  ภาวะนิเวศน์วิทยาจะเสียสมดุลย์ไป  คือ  การป้องกันรักษาพื้นที่รับน้ำบนภูเขาและในป่าที่ควบคุมการไหลของน้ำบนผิวดิน  การยึดเกาะของหน้าดินจะลดลง  เมื่อฝนตกก่อให้เกิดการพังทลายของหน้าดิน  การกัดเซาะ  การไหลบ่าของน้ำป่าก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วม  หากมีฝนตกมาบริเวณที่เคยเป็นป่าต้นน้ำลำธาร  แนวโน้มที่เกิดอุทกภัยก็มีสูง  เมื่อเกิดน้ำท่วมนอกจากบ้านเรือน ทรัพย์สินจะเสียหายแล้ว  เรือกสวนไร่นา  และสิ่งก่อสร้างก็จะเสียหายไปหมด  นับว่าเป็นการเสียหายทางเศรษฐกิจที่เห็นได้อย่างชัดเจน  ปัญหาติดตามมาคือ  ราษฎรต้องไร้ที่อยู่ที่พักอาศัย  ขาดแคลนอาหาร  บางรายสมาชิกในครอบครัวอาจเสียชีวิตหรือสูญเสียทรัพย์สินจนหมดสิ้น  สิ่งเหล่านี้จะกลายเป็นปัญหาสังคมหลายประการ  เช่น  ขาดแคลนอาหาร  ไม่มีทรัพย์สิน ก้อาจหาทางออกโดยการก่ออาชญากรรม  หรือการสูญเสียสิ่งต่าง  ๆ  ไปก่อให้เกิดการท้อแท้เบื่อหน่าย  ไม่อยากดิ้นรนทำมาหากินต่อไป  และในกรณีที่เกิดปัญหาน้ำท่วมมีผู้คนจำนวนมากได้รับความเดือดร้อน  และเสียหาย  เรื่องดังกล่าวนี้จะกลายเป็นปัญหาทางการเมืองที่รัฐบาลจะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา  กรณีเห็นได้ชัดเจนคือ  การออกพระราชบัญญัติปิดป่า  โดยการยกเลิกสัมปทานการทำไม้ทั่วประเทศนั้นรัฐยาลได้รับแรงผลักดันมาจากกรณีน้ำท่วมใหญ่ภาคมต้เมื่อปลายปี  2531  การลดลงหรือการสูญเสียพื้นที่ป่าเป็นจำนวนมาก  นอกจากจะก่อให้เกิดปัญหาน้ำท่วมแล้วยังก่อให้เกิดปัญหาฝนแล้งได้  ทั้งนี้เพราะป่าไม้มีความชุ่มชื้นและมีไอน้ำที่ช่วยดึงดูดให้เกิดฝนตก  เมื่อไม่มีป่าไม้  โอกาสที่ฝนจะตกในบางท้องที่ก็เกิดขึ้นได้ยาก  เว้นแต่  ฝนนั้นอมไอน้ำไว้อิ่มตัว  แล้วถูกพักมาตกบริเวณนั้นพอดี  อย่างไรก็ตาม  เราอาจสังเกตได้ง่าย  ๆ  ว่าบริเวณที่มีป่าไม้หนาแน่นจะมีฝนตกชุกและตกปริมาณมากกว่าบริเวณที่ไม่มีป่า  เมื่อป่าเหลือน้อย  ฝนก็ตกน้อย  ความแห้งแล้งจะปรากฏให้เห็นชัดเจน  ดังจะเห็นได้จากภาคตะวันออกฉียงเหนือของเราจะพบว่า  มีปัญหาความแห้งแล้งบ่อย  เพราะมีพื้นที่ป่าน้อย  ความแห้งแล้งทำให้พืชผลทางการเกษตรเสียหาย  เศรษฐกิจตกต่ำ ราษฎรต้องดิ้นรนหารายได้เลี้ยงตนเองมักก่อให้เกิดการอพยพเข้าไปหางานทำในเมื่อใหญ่  ๆ  เป็นฤดูกาล  ในบางปีมีการอพยพเข้าเมืองจำนวนมาก  และหางานทำไม่ได้  ต้องนอนข้างถนนหรือไปอาศัยอยู่รวมกันเป็นสลัม  ก่อให้เกิดปัญหาสังคมติดตามมา   หรือความแห้งแล้ง  ทำให้ราษฎรร่วมตัวกันมาขอร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน  ดังเช่น  กระทรวงมหาดไทยได้รับการร้องเรียนจาก  188  อำเภอ  บริเวณ  24  จังหวัดทั่วประเทศ  อาทิ  สงขลา  เพชรบุรี  จันทบุรี  ระยอง  ลพบุรี  ร้อยเอ็ด  ชัยภูมิ  และนครราชสีมา  ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่รวมกันจำนวน  368,119  ครอบครัว  ว่า  ประสบกับภาะความแห้งแล้งและทำให้พื้นที่เกษตรเสียหายไปประมาณ   1.2  ล้านไร่  และรอคอยความช่วยเหลือของทางการที่จัดหาน้ำบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น  ความเสียหายหรือผลกระทบที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ  น้ำเค็มหนุนสูงขึ้นไหลทวนแม่น้ำลำคลองขึ้นสูงลึกขึ้นไปเหนือน้ำ  ทั้งนี้เนื่องจากในฤดูฝนเมื่อฝนตก  และป่าไม้มีน้อยหรือถูกทำลายหมดน้ำจะไหลบ่าลงสู่ที่ต่ำหรือแม่น้ำลำคลองทันที่โดยไม่มีแหล่งดูดซับน้ำไว้  ดังนั้น  เมื่อถึงฤดูร้อน  น้ำในแม่น้ำลำคลองที่เคยไหลซึมออกมาจากป่าเขาที่มีต้นไม้จะไม่มีอะไรไหลออกมาก  ทำให้ห้วย  คลองต่าง  ๆ  แห้งขอด  ส่งผลให้น้ำในแม่น้ำลดระดับลง  ในอดีตน้ำเค็มจะหนุนสูงขึ้นมาบริเวณปากแม่น้ำ  แต่เมื่อห้วย  คลองต่าง  ๆ  แห้งขอด  น้ำในแม่น้ำมีระดับต่ำ  น้ำในทะเลก็ไหลเข้าไปในแม่น้ำลึกเข้าไปเรื่อย  ผลกระทบก็คือ  ราษฎรที่อาสัยน้ำในแม่น้ำทำการเกษตรจะต้องประสบกับภาวะปัญหาน้ำเค็ม  เรือกสวนไร่นาต่าง  ๆ  จะได้รับความเสียหาย  ทำให้เกษตรกรเหล่านี้มีรายได้ตกต่ำหรือขาดรายได้ต้องอพยพไปหาที่ทำกินแหล่งใหม่  หรือมีการเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหา  การสูญเสียทางภาวะนิเวศน์วิทยานี้ยังส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ด้านต่าง  ๆ  อีก  เช่น  อุณหภูมิสูงขึ้นทุกปี  ประชาชนขาดสถานที่พักผ่อนหย่อนใจหรือสถานที่ท่องเที่ยว  พืชและสัตว์ป่าจะสูญพันธุ์
                                2.2  ผลกระทบทางการบริโภคของประชาชนในท้องถิ่น  ประชาชนในท้องถิ่นจำนวนไม่น้อยที่อุปโภคบริโภคผลิตภัณฑ์จากป่าไม้  ดังนั้น  เมื่อป่าไม้หมดไป  เขาจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขาดแคลนในสิ่งที่เคยได้จากป่าไม้  เช่น  พืช  ผัก  ผลไม้  สัตว์เล็ก  ๆ  ที่นำมาเป็นอาหารได้  ขาดแคลน  ไม้ฟืน  ถ่าน  เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในการหุงต้ม  ต้องซื้อจากที่อื่นซึ่งมีราคาสูง  หรือใช้เชื้อเพลงอื่นแต่ก็มีราคาสูงสำหรับประชาชนในท้องถิ่น  ราษฎรบางคนก็ใช้พื้นที่บริเวณชายป่าเลี้ยงสัตว์  หรือได้ไม้มาสร้างบ้าน  สร้างอาคาร  รั้ว  เฟอร์นิเจอร์  ยุ่งฉาง  เล้าเป็ด  เล้าไก่  บางคนมีอาชีพทำงานฝีมือ  โดยอาสัยวัสดุจากป่า  เช่น  เชือก  ตอก  หลวาย  ตะกร้า  ไม้กวาด  ของประดับบ้าน  บางคนมีอาชีพเก็บของป่าขาย  เช่น  น้ำผึ้ง  ครั่ง  สีเสียด  ยางไม้  เปลือกไม้  สมุนไพร  หรือบางคนมีอาชีพเป็นช่างแกะสลัก  งานฝีใอที่ทำจากไม้  ช่างไม้  ประชาชนเหล่านี้ล้วนได้รับผลกระทบจากการสูญเสียหรือการทำลายป่าไม้  ในบางอาชีพ  เช่น  งานฝีมือ  หรืองานแกะสลัก  เมื่อป่าหมดไปก็ทำให้อาชีพพวกเขาเหล่านี้หมดตามไปด้วย  ปัจจุบันเรามักจะไม่ค่อยพบการดำรงชีพในลักษณะที่กล่าวมานี้  อาจกล่าวได้ว่าในอดีตเมื่อครั้งมีป่าไม้มากมาย  การดำรงชีพค่อยข้างสะดวกสบายทุกอย่าง  หาได้จากป่าแต่เมื่อป่าหมดไป  การดำรงชีวิตของประชาชนจะต้องขึ้นอยู่กับผลิตผลของอุตสาหกรรมเป้นส่วนใหญ่  ค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพสูงและประสบกับปัญหาทางสังคมอีกหลายประการ  เช่น  ประชาชนในท้องถิ่นต้องงานทำเพื่อให้มีรายได้พอใช้จ่ายกับภาวะเศรษฐกิจ  เพราะสิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างไม่อาจจะหาได้จากป่าเหมือนในอดีต
                                2.3  ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับป่าไม้  อุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อยที่ใช้ไม้เป็นวัตถุดิบในขบวนการผลิต  เช่น  อุตสาหากรรมผลิตไม้อัด  กระดาษ  บรรจุหีบห่อ  ก่อสร้าง  เฟอร์นิเตฃจอร์  ต่อเรือ  เคมี  ตกแต่ง  เป็นต้น  อุตสาหกรรมต่าง  ๆ  กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของเรา  เช่น  กระดาษ  นับว่ากระดาษเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันของมนุษย์ค่อนข้างมาก  การขาดแคลนวัตุดิบคือไม้  ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น  ผู้ผลิตก็บวกค่าใช้จ่ายเหล่านี้ในราคาสินค่าที่ขาย  ฉะนั้น  หากไม้มีไม่พอป้อนให้โรงงานผลิตกระดาษ  โรงงานจะต้องสั่งไม้มาจากต่างประเทศ  หรือสั่งกระดาษจากต่างประเทศ  ทำให้มีราคาสูง  ผลกระทบจะเกิดกับผู้บริโภคซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่  หากพิจารณาอย่างผิวเผิน  การขาดแคลนไม้ของภาคอุตสาหกรรมดูเหมือนจะกระทบต่อผู้ลงทุน  นายทุนหรือโรงงานอุตสาหกรรมเหล่านั้น  แต่จริง  ๆ  แล้ว  ผลสุดท้ายจะตกอยู่กับประชาชนส่วนใหญ่เพราะผู้ลงทุนจะผลักภาระต้นทุนให้กับผู้บริโภค  แต่อย่างไรก็ตาม  สินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้ไม้เป็นวัตถุดิบในปัจจุบันนั้นอาจหลีกเลี่ยงการใช้ไม้เป็นวัตถุดิบอื่นได้  เช่น  โต๊ะ  เก้าอี้  เฟอร์นิเจอร์ต่าง  ๆ  เดิมนั้นใช้ไม้เป็นวัตถุดิบสำคัญแต่ปัจจุบันอาจใช้วัตถุดิบอื่นมาผลิตทดแทนไม้ได้เช่นกัน  เช่น  ใช้พลาสติก  โลหะ  หรือไฟเบอร์กลาส  เป็นต้น  บางอย่างอาจมีต้นทุนแพงกว่าไม้  แต่ทว่าจะมีความแข็งแรงและสวยงามของผลิตภัณฑ์ไปอีกแบบหนึ่งด้วย  ฉะนั้นอุตสาหกรรมบางอย่างอาจจะหลีกเลี่ยงความเสียหายจากการขาดไม่ได้
จากการสูญเสียป่าไม้เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบเป็นรายจังหวัดจากอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยมีจังหวัดที่เคยมีป่าไม้มากปกคลุมกว่า 70% แต่ปัจจุบันสูญเสียไปเกือบทั้งหมด คือ จังหวัดกำแพงเพชร สกลนคร และชุมพร นับเป็นพื้นที่ที่สูญเสียป่าไม้รุนแรงมาก ส่วนจังหวัดที่ป่าไม้ปกคลุมอยู่มากและมีการสูญเสียป่าไม้ราวๆ ครึ่งหนึ่ง ได้แก่เพชรบูรณ์ ประจวบคีรีขันธ์ พังงา สตูล กาฬสินธุ์ นครพนม นครราชสีมา หนองคาย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กระบี่ ตรัง แต่อย่างไรก็ตามจังหวัดอื่นๆ ก็มีเนื้อที่ป่าลดลงอย่างมากเช่นกัน
ในปัจจุบัน เนื้อที่ป่าไม้ในประเทศไทยน่าจะมีแนวโน้มสูงขึ้น ประมาณ 3% ของเนื้อที่ประเทศไทยจากสถิติในช่วง  2549-2552 แต่เมื่อพิจารณาในพื้นที่จังหวัดต่างๆ พบว่า มีจังหวัดที่ยังมีเนื้อที่ป่าลดลงมาก (เกิน 5% ของเนื้อที่จังหวัด ได้แก่ จังหวัด สตูล ตาก น่าน แพร่ นครพนม ตราด ประจวบคีรีขันธ์
โดยเฉพาะจังหวัด ตาก และน่าน เป็นพื้นที่รับน้ำของเขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิตติ์  ซึ่งมีผลต่อการชะลอน้ำท่าจากพายุฝนที่จะไหลลงเขื่อนอย่างรวดเร็ว และป้องการกัดเซาะหน้าดินลงอ่างเก็บน้ำ ที่น่าจะมีผลต่ออุทกภัยในปี 2554 ที่ผ่านมา นอกจากนี้ จังหวัด กำแพงเพชร เชียงราย พะเยา แม่ฮ่องสอน ลำพูน สุโขทัย กาฬสินธุ์ ชัยภูมิ มุกดาหาร ยโสธร สกลนคร อุดรธานี ระยอง และ ตรัง ก็มีเนื้อที่ป่าที่ลดลงมากเช่นกัน
มาตรการจัดการป่าของประเทศไทย คือ การประกาศป่าสงวนแห่งชาติ ตามพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ 2507 แต่เนื่องจากเป็นมาตรการที่มุ่งในการควบคุมพื้นที่ป่าเพื่อการใช้ประโยชน์จากป่าเป็นสำคัญ ทั้งการให้สัมปทานไม้ในอดีต (สิ้นสุดเมื่อปี 2531 หลังเกิดดินถล่มจากการตัดไม้ทำลายป่าและกระแสอนุรักษ์ในช่วงการต่อต้านเขื่อนน้ำโจน) และยังคงมีการอนุญาตให้เข้าใช้ประโยชน์หรือกระทั่งอยู่อาศัยในพื้นที่ ดังนั้นพื้นที่ป่าสงวนที่ถูกประกาศปัจจุบันจึงมีพื้นที่ลดลงอย่างรวดเร็ว (ในปัจจุบันมีพื้นที่ที่ประกาศเป็นป่าสงวนอยู่ราว 45% หรือ กว่า 230,000 ตารางกิโลเมตร แต่มีพื้นที่ป่าเหลือจริงอยู่เพียง 171,586 ตารางกิโลเมตร หรือร้อยละ 70 ดังนั้นแสดงว่ามีเนื้อที่ป่าสงวนถูกใช้ประโยชน์ไปถึงประมาณ 30%
การอนุรักษ์ป่าที่ได้ผลมากกว่าการประกาศป่าสงวนคือ การประกาศเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ หรือ พื้นที่คุ้มครอง ได้แก่ อุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุสัตว์ป่า วนอุทยาน เขตห้ามล่าสัตว์ป่า รวมถึง สวนรุกขชาติและสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งแม้ว่าจะสามารถรักษาพื้นที่ที่ถูกประกาศส่วนใหญ่ไว้ได้แต่เนื่องจากขั้นตอนการประกาศพื้นที่อนุรักษ์ในอดีตมิได้มีกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชนและการสำรวจเพื่อคุ้มครองสิทธิชุมชน จึงทำให้มีการประกาศพื้นที่ทับซ้อนกับพื้นที่ใช้ประโยชน์ทำกิน และเก็บหาของป่าของประชาชนในชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิมเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดปัญหาในเชิงสิทธิชุมชนมากมายในปัจจุบัน ซึ่งต้องอาศัยมติคณะรัฐมนตรี (30 มิถุนายน 2541)  ในการผ่อนผันให้อยู่อาศัยในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ แต่ในขณะเดียวกันเมื่อมีการขยายพื้นที่เดิม ที่ไม่มีการแสดงแนวเขตการควบคุมที่ชัดเจนก็ส่งผลให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าไม้จากการขยายตัวทั้งชุมชนกลางป่า และขอบป่าอนุรักษ์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังการส่งเสริมการปลูกพืชไร่ต่างๆ สวนยางพารา ปาล์มน้ำมัน ทั้งจากบริษัทเอกชน และนโยบายการสนับสนุนที่ขาดความรอบคอบของรัฐ ทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรง และสูญเสียพื้นที่ป่าเพิ่มเติมตลอดมา
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันมีการประกาศพื้นที่ป่าอนุรักษ์รวมแล้วประมาณ 103,810  ตารางกิโลเมตร หรือ 20% ของเนื้อที่ประเทศไทย โดยน่าจะมีเนื้อที่ป่าจริงประมาณกว่า 15%  และพื้นที่ป่าจำนวนนี้ คือพื้นที่มีศักยภาพสูงในการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพในการเป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์ป่า และเก็บรักษาแหล่งพันธุกรรมของพืช เนื่องจากมีการจัดการป้องกันการบุกรุกทำลายที่ดีกว่าพื้นที่ป่าสงวน
การแก้ไขปัญหาทางด้านป่าไม้จำเป็นต้องพัฒนาสมรรถนะของพื้นที่ให้เหมาะสม ต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินทางด้านป่าไม้ตลอดจน  การแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชนรวมไปถึงการปลุกจิตสำนึกของประชาชนให้ตระหนักให้รู้สึกหวงแหนทรัพยากรป่าไม้และเห็นความสำคัญของป่าไม้ทั้งทางตรงและทางอ้อม รวมไปถึงอันตรายที่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า โดยเฉพาะการใช้ไฟเผาเพื่อเตรียมพื้นที่เพาะปลูกในรูปแบบของการทำไร่เลื่อนลอย นอกจากทำลายทรัพยากรป่าไม้แล้วยังทำลายสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในป่ารวมถึงสิ่งแวดล้อมด้วย การมีผู้นำที่ดีสามารถนำพาประชาชนแก้ไขปัญหาป่าไม้ โดยขบวนการเสริมสร้างความร่วมมือร่วมใจในการปฏิบัติหน้าที่ป้องกันรักษาทรัพยากรป่าไม้จะส่งผลให้ทรัพยากรป่าไม้ให้มีศักยภาพในการเอื้อผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมแก่สังคมไทยได้อย่างสูงสุดและยั่งยืนตลอดไป

TEEN MOM การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น นายธนาธร วรรธนะอมร 53242001

 บทความวิชาการ
เรื่อง TEEN MOM การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น


วารสาร เวทีปฏิรูปเพื่อสุขภาพคนไทย บอกว่า ชาวไทยยุคมิลเลนเนียมเสียบริสุทธิ์กันเฉลี่ยที่อายุ 16 ปี เร็วกว่าสมัยคุณน้าคุณอาเมื่ออายุ 20 ปีก่อนถึง 4 ปี!! โดยที่วัยรุ่นชาย 1 ใน 3 เลือกที่จะเปิดบริสุทธิ์ให้กับสาวบริการ!!

เห็นข้อความข้างบนแล้วหลายคนคงคาดไม่ถึง เพราะโอกาสเสี่ยงต่อการติดโรคทางเพศสัมพันธ์สูงแน่ๆ และอย่างที่รู้ดีกันว่าโรคที่น่ากลัวที่สุด นั่นคือ โรคเอดส์ รู้ไหมว่าผู้ชายที่ตายด้วยโรคเอดส์ในปี 2541 กลุ่มใหญ่ที่สุดก็อยู่ในวัยใกล้ๆ กันนี้เอง คือ 25-34 ปี คือรับเชื้อไปแล้วตั้งแต่วัยรุ่น ไม่กี่ปีหลังจากนั้นเสียชีวิต

พ่อแม่ยุคใหม่จึงควรใส่ใจพูดคุยเรื่องนี้กับลูกวัยรุ่นให้เข้าใจ ...ก่อนจะสายเกินการณ์

ปัจจุบันปัญหาทางเพศในวัยรุ่นดูจะเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ วัยรุ่นชิงสุกก่อนห่ามมากขึ้น การคบกันไม่เท่าไหร่ก็มีเพศสัมพันธ์กันก่อนวัยอันควร และปัญหาต่างๆ ก็ตามมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ท้องในวัยเรียน ทำแท้ง เรียนหนังสือไม่จบ เหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัวไม่เฉพาะแต่ตัววัยรุ่นเองเท่านั้น


สาเหตุของปัญหาทางเพศในวัยรุ่น

* เพราะวัยรุ่นเป็นวัยอยากลอง อยากรู้ ท้าทาย มีพลังเหลือเฟือ รวมทั้งมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศทั้งหญิงชายทำให้เกิดอารมณ์เพศขึ้นมา

* พื้นฐานครอบครัวไม่เข้มแข็ง ขาดความอบอุ่น ขาดการเอาใจใส่ใกล้ชิด หรือขาดการอบรมดูแลจากพ่อแม่ หรือการที่พ่อแม่ไม่เข้าใจพัฒนาการของวัยรุ่น ทำให้ขาดคนคอยชี้แนะเรื่องที่ถูกที่ควร

* กระแสสื่อต่างๆ ทั้งอินเตอร์เน็ต ทีวี ที่นำเสนอค่านิยมตะวันตก ทำให้วัยรุ่นได้รับสารหรือค่านิยมที่ผิดๆ

* ความเครียดจากความไม่เข้าใจของพ่อแม่ หรือเครียดจากการเรียนที่มีการแข่งขันกันสูง ทำให้วัยรุ่นหันไปพึ่งเพื่อน ซึ่งอาจชักนำไปเสพยาเสพติด และเป็นตัวการนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจมากขึ้น


การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของวัยรุ่นหญิง

“รักนวลสงวนตัว” ภาษิตโบราณที่ปลูกฝังค่านิยมกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย แทบจะใช้ไม่ได้แล้วกับวัยรุ่นหญิงสมัยนี้ นั่นเพราะผู้หญิงสมัยใหม่กล้าคิดกล้าทำมากขึ้น ค่านิยมที่เปลี่ยนไป...สามารถมีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนชายโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายหลายๆ คน... และที่น่าตกใจ มีการวิจัยของนางนิรมล เมืองโสม พบว่า วัยรุ่นหญิงอายุระหว่าง 16-25 ปี จำนวน 20 คน ทั้งหมดเคยมีเพศสัมพันธ์มาแล้ว (คงแล้วแต่จะสำรวจเจาะกลุ่มใด ไม่ใช่วัยรุ่นทั้งประเทศไทยเป็นแบบนั้น) ทั้งกับแฟนหรือคู่รัก ด้วยความสมัครใจ ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวแตกแยก แต่ทั้งนี้ สำหรับวัยรุ่นหญิงที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ชักนำให้ต้องเสียตัวโดยไม่ได้ตั้งใจ นั่นคือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เหล้ายาทั้งหลาย เมื่อดื่มเข้าไปแล้วก็เกิดอาการเคลิบเคลิ้มและมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ตั้งใจกับเพื่อนชายด้วยกัน และที่น่าตกใจ คือ ไม่ได้มีการป้องกัน เพราะคิดว่าเพื่อนกันไม่เป็นไร ไม่ต้องใส่ถุงยางอนามัยก็ได้

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มี 2 ประเภท คือ แบบที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ แต่กลับว่ามีแอลกอฮอล์สูง เช่น เบียร์ ซึ่งเบียร์ในต่างประเทศจะมีแอลกอฮอล์เพียง 5% เท่านั้น แต่เบียร์ในเมืองไทยมีแอลกอฮอล์ประมาณ 12-15% เท่ากับว่ากินเบียร์เมืองไทย 1 ขวด ปริมาณแอลกอฮอล์จะเท่ากับกินเบียร์ต่างประเทศถึง 3 ขวด อีกประเภทคือ ไวน์คูลเลอร์ หรือไวน์สีต่างๆ ที่ผลิตออกมาเพื่อเจาะตลาดวัยรุ่นและผู้หญิง มักจะโฆษณาว่ามีแอลกอฮอล์ต่ำกว่า 5% และมีรสหวาน ดื่มแล้วไม่เมา แต่ในความเป็นจริง เมื่อดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปแล้วจะมีผลต่อจิตใจ ความสามารถควบคุมตัวเองและจิตใจลดลง และจะไปกระตุ้นอารมณ์เพศด้วย วัยรุ่นจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เลย จะดีที่สุด


แนวทางแก้ไข

* พ่อแม่ผู้ปกครอง ครู ต้องคอยดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ให้เขาไว้วางใจ ปรึกษาได้ พยายามปลูกฝังค่านิยมที่ดีงามของไทย พร้อมทั้งให้ความรัก ความอบอุ่น ไม่ลำเอียง

* สอดส่องควบคุมการบริโภคสื่อของวัยรุ่น ชี้แนะทันทีเมื่อสังเกตเห็นความผิดปกติ

* ให้ความรู้เรื่องเพศศึกษาที่ถูกต้อง ทั้งเรื่องสรีระ ฮอร์โมน ผลของการกระทำ

* สอนให้เด็กรู้จักคบเพื่อนที่ดี ศึกษาอุปนิสัยของเพื่อนลูกด้วย

* สอนให้เด็กรู้จักควบคุมอารมณ์ทางเพศ ไม่หมกมุ่นจนเกินไป มีสติ จิตใจแน่วแน่ ไม่ปล่อยให้อารมณ์พาไป สอนให้ลูกหนีห่างยาเสพติด

* ให้เวลากับลูกอย่างเพียงพอ หรือเมื่อลูกต้องการ

* เข้าใจพัฒนาการของวัยรุ่น ไม่จู้จี้ขี้บ่นจนเกินไป


พ่อแม่แบบไหน...โดนใจวัยทีน

* ทำตัวเป็นเพื่อนกับลูก

* ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กเห็น เพราะลูกจะเรียนรู้จากที่สิ่งพ่อแม่กระทำ ไม่ใช่แค่คำพูดสอนสั่งเท่านั้น

* รู้จักถอยบ้าง ไม่ใช่พ่อแม่ถูกเสมอไป

* หมั่นแสดงความรักและให้กำลังใจ แม้จะไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองจากลูก จะช่วยสร้างสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้น

* หาเวลาพูดคุยกับลูกอย่างสม่ำเสมอ มีปัญหาอะไรจะได้แก้ไขทัน

* ตามโลกของวัยรุ่นให้ทัน

พ่อแม่แบบนี้แหละ "เท่" ที่สุดในสายตาของลูก


4 วิธีสื่อสารเรื่องเซ็กส์กับวัยรุ่น

วัยรุ่นเป็นวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย จิตใจ สังคม และอารมณ์ เกิดขึ้นก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่มีความมั่นคงทางจิตใจโดยผ่านกระบวนการพัฒนา การด้านต่าง ๆ รวมไปถึงการมีเอกลักษณ์ของตนเอง การมีอิสระ เป็นตัวของตัวเอง การรู้จักและควบคุมอารมณ์ของตนเอง และการมีมโนธรรมที่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม ตลอดจนสามารถมีความรัก ความผูกพันกับเพื่อนและเพศตรงข้ามได้อย่างเหมาะสม

โดยส่วนใหญ่แล้ววัยรุ่นสามารถผ่านกระบวนการเหล่านี้ไปได้ด้วยดี แต่อาจมีวัยรุ่นบางส่วนที่อาจเผชิญกับปัญหาการปรับตัวเหล่านี้ ที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ปัญหาทางด้านอารมณ์

บรรดาพ่อแม่หรือผู้ปกครองที่ดูแลวัยรุ่นควรทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่างๆในช่วงวัยนี้ ทั้งด้านอารมณ์ของวัยรุ่นที่ไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงได้ง่ายและรวดเร็ว อารมณ์วู่วาม หงุดหงิดง่าย ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศ สภาพร่างกายและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป อารมณ์ที่พบบ่อยเป็นเรื่องความรู้สึกวิตกกังวล กลัวต่อการเปลี่ยนแปลงของ ร่างกายตนเอง อารมณ์ทางเพศที่สูงขึ้น พฤติกรรมทางเพศ รวมทั้งกลัวความเป็นผู้ใหญ่ กลัวการรับผิดชอบ การยอมรับจากเพื่อน ความขัดแย้งในการมีอิสระและขอบเขตที่เหมาะสมกับผู้ใหญ่ อาจมีอารมณ์เศร้าร่วมด้วย

เมื่อก้าวเข้าสู่วัยรุ่นตอนกลาง-ปลาย จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงของร่างกายได้ สภาพอารมณ์จะค่อนข้างราบรื่นมากขึ้นเมื่อเทียบกับวัยแรกรุ่น แต่มีความสนใจถึงความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างเพศตรงข้ามกับเพื่อน อยากรู้อยากเห็นถึงพฤติกรรมทางเพศ


เมื่อพูดถึงเรื่องเซ็กส์ ถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่แต่ก่อนมนุษย์ทุกคนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองเมื่อถึงเวลาอันเหมาะ สม แต่ในยุคปัจจุบัน ยุคของสังคมออนไลน์ เราสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งผ่านทางหน้าจอเล็ก ๆ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เด็กในยุคปัจจุบันจึงมีโอกาสเรียนรู้และพัฒนาได้เร็วกว่าในสมัยก่อน แต่ในขณะเดียวกันเด็กก็ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงตามไปด้วย โดยเฉพาะในเรื่องเซ็กส์

เราอาจเคยได้ยินเด็กชั้นประถมฯคุยกันเรื่องเพศสัมพันธ์ ชวนกันดูคลิปโป๊อย่างสนุกสนาน หรือบางครั้งเด็กก็ใช้เวลาในช่วงพักที่โรงเรียน โดยการเลียนแบบพฤติกรรมในคลิปดังกล่าว เมื่อได้ลองเล่นแล้วเกิดความสุข ความพอใจ ร่วมกับความตื่นเต้นท้าทาย เด็กอาจติดพฤติกรรมดังกล่าว เป็นเหตุให้เด็กสมัยนี้มีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก

โดยทั่วไปเด็กชายมักจะมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเร็วกว่าเด็กหญิงเนื่องจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศจะรุนแรงมากกว่า ตามสถิติเด็กไทยมีเซ็กส์ครั้งแรกอายุเฉลี่ย 16 ปี แต่เด็กบางคนก็มีตั้งแต่อายุ 10 ปี ซึ่งอาจเกิดจากความผิดพลาดร่วมกับความเต็มใจของตัวเด็กเอง เมื่ออารมณ์พาไปเด็กก็มักจะห้ามใจไม่อยู่ เพราะสมองส่วนหน้าคือส่วนที่ควบคุมวางแผนโดยใช้เหตุผลยังมีการพัฒนาไม่เต็มที่ จึงพบเห็นอยู่เสมอว่าเด็กวัยรุ่นมักจะทำอะไรตามอารมณ์ ความรู้สึกโดยไม่ค่อยได้คิดก่อนทำ

พ่อแม่และครูในยุคนี้คงต้องปรับทัศนคติและบทบาทเสียใหม่ เพื่อช่วยประคับประคองเด็ก ๆ ให้ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความเสี่ยงนี้ได้ดีขึ้น โดยเริ่มจาก

1. เปลี่ยนทัศนคติของพ่อแม่ก่อน ให้รู้สึกว่าเป็นเรื่องปรกติที่พ่อแม่จำเป็นต้องให้ความรู้กับลูกเสียแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้ลูกเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในเรื่องเซ็กส์ เพราะหากเราไม่บอกในสิ่งที่ลูกสงสัย ลูกก็คงหาคำตอบด้วยตัวเองจากเพื่อนและสื่อต่าง ๆ ซึ่งอาจยิ่งเร้าอารมณ์และเกิดความเสี่ยงมากขึ้น โดยอาจเริ่มพูดคุยได้ตั้งแต่ 3 ขวบ

2. พูดคุยเรื่องเพศกับลูกอย่างง่าย ๆ โดยเริ่มจากอธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย อารมณ์ความ รู้สึก ลูกจึงไม่ควรอยู่กับเพื่อนต่างเพศตามลำพัง เพราะอาจทำให้เกิดความผิดพลาดได้ และเมื่อเกิดขึ้นแล้วอาจมีปัญหาตามมาให้ลูกแก้อีกมากมาย เช่น การติดเชื้อ การตั้งครรภ์ การพลาดโอกาสในการเรียน

3. เปิดโอกาสให้ลูกซักถามสิ่งที่สงสัย และอธิบายในส่วนนั้น เช่น ทางออกที่เหมาะสมเมื่อเกิดอารมณ์ทางเพศ ลูกอาจเล่นกีฬาหรือมีการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเองเป็นครั้งคราว แต่ไม่จำเป็นต้องอธิบายละเอียดในเรื่องที่ลึกเกินไป เช่น เทคนิคการมีเพศสัมพันธ์


4. สร้างบรรยากาศและความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว เพราะเมื่อลูกรู้สึกว่าตนเป็นที่รักและยอมรับของพ่อแม่แล้ว เขาก็จะเห็นคุณค่าของตนเองและดูแลรักษาตนเอง โดยไม่ต้องไปมีเพศสัมพันธ์กับใครเพื่อแลกกับการได้รับความรักและการยอมรับจากคนคนนั้น

การแก้ไขและป้องกันปัญหาเด็กตั้งครรภ์ก่อนวัยอันสมควร

ปัจจุบันปัญหาเด็กตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรเป็นปัญหาใหญ่มากสำหรับประเทศไทย ขณะนี้ประเทศไทยมีเด็กวัยรุ่นตั้งครรภ์ถือเป็นอันดับ ๒ ในประเทศแถบอาเซียน เรื่องนี้เป็นประเด็นที่สังคมหลายฝ่ายกำลังให้ความสนใจและเร่งทำการป้องกันแก้ไข โดยเฉพาะเมื่อเกิดปัญหาแล้ว การแก้ไขนั้นเป็นเรื่องที่ครอบครัวทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย จะต้องร่วมกันรับผิดชอบเยียวยาแก้ไขและหาทางออกที่เหมาะสม โดยมุ่งเน้นประโยชน์สูงสุดสำหรับเด็กทั้งเด็กหญิงที่กำลังตั้งครรภ์และเด็กชายที่ร่วมการก่อกำเนิดทารก รวมทั้งเด็กทารกที่กำลังจะคลอดออกมา เนื่องจากเด็กที่กำลังตั้งครรภ์ ยังจำเป็นต้องเติบโตและพัฒนาในฐานะที่เป็นเด็กและเยาวชน ในขณะที่เด็กทารกก็ควรจะได้รับการเลี้ยงดูที่ดีเพียงพอที่จะทำให้เขาเติบโตและพัฒนาตามที่ควรจะเป็น สภาวะที่เป็นอยู่ในปัจจุบันเมื่อเกิดปัญหา ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องมักหาทางออกด้วยการจับเด็กที่ตั้งครรภ์แต่งงานและอยู่กินฉันสามีภรรยากับฝ่ายชายที่มักจะเป็นเด็กด้วยกันทั้งสองฝ่าย ในความเป็นจริงการแต่งงานมิได้แก้ไขปัญหา เนื่องจากเด็กทั้งสองฝ่ายยังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอที่จะปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสามีภริยารวมทั้งการเป็นพ่อแม่ ที่สำคัญคือพวกเขายังต้องพึ่งพิงผู้ปกครองในฐานะที่ยังเป็นเด็กจึงยังไม่อาจพึ่งตนเอง ยังต้องการเวลาและโอกาสอีกมาก ในการพัฒนาตนเองขึ้นมาจนสามารถพึ่งตนเองและเป็นที่พึ่งให้แก่สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว จนสามารถก่อกำเนิดครอบครัวใหม่แยกจากครอบครัวเดิมของตนทั้งเด็กหญิงเด็กชาย รวมทั้งยังต้องรับผิดชอบร่วมกันดูแลอีกชีวิตหนึ่งที่กำลังจะเกิดมา ดังนั้น ทางแก้ไขจึงควรจะพิจารณาถึง ๑. ความรับผิดชอบของทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย ที่จะต้องร่วมกันรับผิดชอบอย่างไรบ้าง แม้ว่าจะไม่ได้แต่งงานกัน ในการผ่อนเบาภาระต่างๆของครอบครัวที่ตนยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ พร้อมทั้งทุ่มเทเวลาและความสามารถในการพัฒนาตนเองด้านการศึกษาการฝึกอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะต้องรับผิดชอบในการดูแลเลี้ยงดูทารกร่วมกันอย่างไร โดยมีครอบครัวและญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่าย ร่วมกันให้ความสนับสนุนและช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง ช่วยถ่ายทอดทักษะที่จำเป็นต่อการเลี้ยงดูเด็กทารก หากสมาชิกในครอบครัวไม่อาจช่วยเหลือถ่ายทอดด้วยตนเอง จะต้องแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้มีทักษะเชี่ยวชาญจากภายนอก ทั้งนี้หน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องควรจะเข้าไปให้ความช่วยเหลือหรือแนะนำวิถีการดำเนินชีวิตของทั้งสองฝ่าย

๒. ความรับผิดชอบของทั้งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย รวมถึงครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ในการแก้ไขผลกระทบที่ติดตามมาจากการทำให้ตั้งครรภ์ร่วมกันอย่างไร เช่น การดูแลสุขภาพอนามัยของเด็กในครรภ์และแม่วัยเด็ก การพยายามสร้างโอกาสและเงื่อนไขให้แม่วัยเด็กสามารถดำเนินชีวิตเรื่องการศึกษาการฝึกอาชีพต่อไปได้โดยไม่ติดขัด ร่วมกันแก้ไขปัญหาความกดดันจากสังคมที่มีต่อแม่ตั้งครรภ์ในวัยเด็ก การสร้างสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ทำให้แม่วัยเด็กมีความรู้สึกผ่อนคลาย ไม่มีความทุกข์ความเครียดความกังวลโดยครอบครัวและญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ทารกในครรภ์มีปัญหาสุขภาพต่างๆ เช่น ความพิการทั่วไปและความพิการทางสมอง รวมทั้งทำให้การเจริญเติบโตของทารกในครรภ์เฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสมองของทารกเป็นไปด้วยดี ทั้งนี้ฝ่ายชายต้องมีบทบาทสำคัญในเรื่องเหล่านี้เพราะการแสดงบทบาทหน้าที่ในเรื่องเหล่านี้ของฝ่ายชาย มีผลอย่างยิ่งในการคลี่คลายปัญหาดังกล่าวข้างต้น ๓. ความรับผิดชอบต่อตนเองที่ต้องเร่งพัฒนาตนเพื่อสามารถพึ่งตนเองโดยเร็ว รวมทั้งสามารถเป็นที่พึ่งของเด็กทารกได้ด้วย ทั้งนี้เมื่อขณะก่อนการตั้งครรภ์ เด็กทั้งคู่มีแต่ภาระเฉพาะการพัฒนาตนขึ้นมาจนสามารถพึ่งตนเองและเป็นที่พึ่งให้แก่สมาชิกคนอื่นๆในครอบครัว หรืออาจรับผิดชอบช่วยลดภาระต่างๆของครอบครัวเท่าที่จะทำได้เท่านั้น แต่เมื่อให้กำเนิดเด็กทารกก็จะมีภาระเพิ่มขึ้นในการดูแลและเลี้ยงดูเด็กทารก เมื่อมีภาระเพิ่มขึ้นทั้งของตนเองและของครอบครัวเช่นนี้ก็จำเป็นต้องเร่งรัดการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆให้หนักแน่นจริงจังมากขึ้น เพื่อลดระยะเวลาในการต้องเป็นภาระของคนอื่นๆให้สั้นที่สุดของทั้งสองฝ่าย หากยังมีความรักผูกพันระหว่างเด็กหญิงและเด็กชายไม่ใช่เพียงเรื่องความต้องการทางเพศ ย่อมถึงเวลาอันเหมาะสมที่เขาทั้งสองจะร่วมชีวิตกันเป็นสามีภริยาอย่างแท้จริง ๔. รับการบำบัดและฝึกฝนที่จะสามารถจัดการกับอารมณ์เพศได้อย่างสร้างสรรค์ แทนการมีเพศสัมพันธ์ การมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรนั้น จะทำให้ความสามารถในการควบคุมตนเองในเรื่องเพศเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์เพศกระทำได้ยากหรืออาจไม่ได้เลย เป็นเหตุให้เด็กขาดแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองในด้านต่างๆหันมาหมกมุ่นแต่เรื่องเพศ มีงานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่าเด็กที่มีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ส่วนมากจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านการศึกษาและอาชีพการงาน ทั้งนี้เพราะขาดการพัฒนาตนอย่างต่อเนื่องเกือบทุกด้าน โดยเฉพาะการแต่งงานแต่วัยเด็กทำให้ขาดช่วงชีวิตในวัยเด็กขาดโอกาสพัฒนาตน จึงจำเป็นต้องได้รับการบำบัดโดยทีมจิตบำบัด เพื่อให้เด็กสามารถควบคุมความต้องการทางเพศได้ในระดับปกติ โดยเฉพาะการรู้จักวิธีการสลายความกดดันอารมณ์เพศที่ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดความเครียดและหมกมุ่นในเรื่องเพศ ด้วยกิจกรรมสร้างความสุขและออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเต้นแอโรบิก การท่องเที่ยวปีนเขา เดินป่า ดูนก เล่นดนตรี เล่นกีฬา ทำงานศิลปะ ฯลฯ


การที่เด็กมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรนั้น มีสาเหตุมาจา

๑. เด็กไม่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ โดยเฉพาะไม่ได้รับการฝึกฝนให้ดูแลตนเองเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ เช่น การรักษาความสะอาดร่างกาย อวัยวะเพศ การปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับการทำงานของฮอร์โมนเพศ เช่น เข้าใจการเกิดอารมณ์เพศว่ามีที่มาอย่างไร ปัจจัยใดบ้างที่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศและการไต่ระดับของอารมณ์เพศของหญิงและชายว่าแตกต่างกันอย่างไร ทั้งนี้จะทำให้เด็กสามารถป้องกันตนเองไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์ทางเพศ จนไม่สามารถควบคุมตนเองในเรื่องเพศได้ เรื่องนี้มีความมีความสำคัญยิ่งกว่าการสอนเด็กเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย

 ๒. เด็กไม่มีความรักผูกพันกับพ่อแม่ ขาดความรู้สึกผูกพันเข้าถึงอารมณ์จิตใจซึ่งกันและกัน เด็กจึงไม่มีความสุขขณะอยู่ที่บ้าน รวมทั้งพ่อแม่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกที่ดีเมื่อลูกอยู่บ้าน ขัดแย้งซึ่งกันและกันเป็นปกติวิสัย จนไม่สามารถสื่อสารทำความเข้าใจอารมณ์จิตใจของกันและกัน ๓. เด็กไม่รู้เท่าทันอารมณ์เพศของตนเอง ไม่ตระหนักถึงภัยทางเพศเมื่อถูกกระตุ้นให้เกิดอารมณ์เพศ ทั้งนี้เพราะเด็กขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องปัจจัยที่สามารถเร้าอารมณ์เพศ ว่าเป็นอย่างไร ทำให้เด็กตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศโดยไม่รู้เท่าทัน ทั้งนี้เด็กวัยรุ่นมักเกิดอารมณ์เพศได้ง่าย เพียงแต่คิดถึงเรื่องเพศเพราะฮอร์โมนเพศในกระแสโลหิตของวัยรุ่นมีความเข้มข้น มากกว่าวัยอื่นๆ ดังนั้นการสอนเรื่องเพศสัมพันธ์หรือส่งเสริมให้เด็กพกถุงยางอนามัยหรือกินยาคุมกำเนิด จึงเท่ากับกระตุ้นให้เด็กหมกมุ่นเรื่องเพศโดยตรง ดังนั้นการแก้ไขป้องกันปัญหาในเรื่องนี้ จึงต้องเพิ่มโอกาสให้เด็กได้ทำกิจกรรมสร้างสรรค์พัฒนาตนด้านต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมอาสาสมัครบำเพ็ญประโยชน์เพื่อให้เด็กสนใจความเป็นตายร้ายดีของคนอื่น รู้จักคิดเพื่อช่วยเหลือคนอื่นมากกว่าคิดถึงตนเองหรือหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องของตน ๔ เด็กไม่รู้จักวางตนหรือไม่สามารถกำหนดขอบเขตในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับเพศตรงข้ามให้สอดคล้องกับความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ไม่สามารถวางตนให้แตกต่างในการคบเพื่อนต่างเพศและคบในฐานะคนรัก ทั้งนี้เพราะผู้ปกครองมักจะห่างเหินจากลูกวัยรุ่นและไม่ได้พาลูกเข้าสังคมร่วมกับตน เช่น ไปเยี่ยมญาติหรือครอบครัวเพื่อนๆ ไปร่วมปฏิบัติกิจกรรมทางสังคมต่างๆ ร่วมงานบุญ งานประเพณี งานศิลปวัฒนธรรม ทำกิจกรรมทางศาสนา ฯลฯ ทั้งที่การชักชวนเด็กไปร่วมกิจกรรมข้างต้น จะช่วยพัฒนาทักษะทางสังคมโดยเฉพาะความสามารถในการวางตนที่เหมาะสมของเด็กได้เป็นอย่างดี ๕. เด็กขาดการช่วยเหลือชี้แนะจากพ่อแม่ ให้สร้างทักษะในการจัดการกับอารมณ์เพศได้อย่าง

สร้างสรรค์แทนการมีเพศสัมพันธ์ ได้แก่ การทำกิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายและกระตุ้นให้สมองหลั่งสารความสุข เช่น การเต้นแอโรบิก การท่องเที่ยวปีนเขา เดินป่า ดูนก เล่นกีฬาสนุก ฯลฯ ทั้งที่กิจกรรมข้างต้นทำให้เด็กสามารถออกกำลังกายอย่างมีความสุข ช่วยเผาผลาญฮอร์โมนความเครียดทั้งหลายรวมทั้งอารมณ์เพศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๖. เด็กวัยรุ่นมักใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการอยู่เฉยๆ การคิดถึงแรงดึงดูดทางเพศต่อเพศตรงข้ามของตนเอง คิดเกี่ยวกับเพศตรงข้าม ดูโทรทัศน์ เล่นเกม เข้า Internet ฯลฯ จึงมีผลทำให้เกิดความเครียดซึ่งจะกระตุ้นฮอร์โมนเพศและอารมณ์เพศตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชี้แนะให้เด็กแก้ปัญหาความต้องการทางเพศด้วยการสำเร็จความใคร่ตนเอง จะยิ่งมีผลกระตุ้นให้เด็กต้องการมีเพศสัมพันธ์จริงๆกับเพศตรงข้ามมากยิ่งขึ้นเพราะการสำเร็จความใคร่ตนเอง ไม่ได้ทำให้เด็กสามารถออกกำลังกายอย่างมีความสุข จึงไม่อาจช่วยเผาผลาญฮอร์โมนความเครียดหรือลดอารมณ์เพศ ทั้งนี้เมื่อเกิดอารมณ์เพศ ร่างกายจะหลั่งสารความเครียดต่างๆเพื่อกระตุ้นกล้ามเนื้อให้มีพลังความแข็งแรงสำหรับการร่วมเพศ กล้ามเนื้อจะเขม็งเกลียว เกิดความตึงเครียดทั้งด้านร่างกายจิตใจ หัวใจเต้นเร็วและหายใจสั้นกระชั้น การร่วมเพศจริงๆจะมีการออกกำลังกายเผาผลาญฮอร์โมนความเครียดและสมองหลั่งสารความสุขเมื่อสำเร็จความใคร่ แต่การสำเร็จความใคร่ตนเองไม่มีกระบวนการดังกล่าว ดังนั้น การพัฒนาเด็กในด้านเพศจึงควรเน้นไปที่การดูแลอย่างใกล้ชิดจากพ่อแม่ การที่พ่อแม่ให้คำปรึกษาแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพอนามัยทางเพศ การปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับการเริ่มทำงานของฮอร์โมนเพศ เข้าใจเรื่องอารมณ์เพศ ปัจจัยใดบ้างที่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศ การพัฒนาเด็กให้สามารถวางตัวให้สอดคล้องเหมาะสมและมีปฏิสัมพันธ์ที่เหมาะสมกับเพศตรงข้าม ด้วยการพาเด็กไปเข้าสังคมต่างๆ รวมถึงการพัฒนาเด็กให้มีทักษะในการจัดการกับอารมณ์ทางเพศ ด้วยการให้เด็กได้ทำกิจกรรมพัฒนาตนที่ต้องออกกำลังกายและกระตุ้นให้สมองหลั่งสารความสุข การพัฒนาเด็กดังกล่าวข้างต้นนั้น มีความคุ้มค่าอย่างมาก ทั้งในแง่ต้นทุนที่ใช้นั้นไม่มาก อีกทั้งยังทำให้เด็กมีความสุข ครอบครัวมีความสุข เด็กมีพฤติกรรมดีทุกด้านโดยเฉพาะเรื่องเพศ


กล่าวโดยสรุปแล้ว การสอนเด็กเรื่องเพศ ควรจะต้องประกอบด้วย ๑ เริ่มที่การรู้จักดูแลร่างกายจิตใจตนเองเกี่ยวกับอนามัยเจริญพันธุ์ โดยทำให้เด็กเกิดความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับตนเองโดยเฉพาะเรื่องเพศ ๒. สร้างเงื่อนไขไม่ให้เด็กวัยรุ่นหมกมุ่นกับตนเอง การรู้จักและเท่าทันอารมณ์เพศ ปัจจัยที่สามารถกระตุ้นอารมณ์เพศ การรู้จักหลีกเลี่ยงจากปัจจัย หรือสถานการณ์ที่สามารถกระตุ้นเร้าอารมณ์เพศ

๓. ถ่ายทอดทักษะทางสังคม โดยเฉพาะรู้จักในการวางตนกับเพศตรงข้าม ๔. ทักษะในการทำกิจกรรมทดแทนการมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้วิธีสำเร็จความใคร่ หรือการมี Safe sex ดังที่มีการรณรงค์อย่างกว้างขวางทางสังคม นอกจากนั้น การกระตุ้นส่งเสริมให้เด็กประสบความสำเร็จทางการศึกษา โดยเน้นไปที่พัฒนาการด้านการรู้จักคิดของเด็กหรือที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า Cognitive Development จะช่วยสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาตนเองให้แก่เด็ก เด็กจะมีสมาธิกับการพัฒนาตนเองแทนการหมกมุ่นในเรื่องเพศ รวมทั้งทำให้เด็กรู้ใคร่ครวญไตร่ตรองชั่งผลดีผลเสียก่อนจะตัดสินใจทำอะไร รู้จักตั้งข้อสังเกตคิดวิเคราะห์หาข้อสรุปด้วยตนเอง รู้จักการวางแผนในการดำเนินชีวิตของตน ทำให้เด็กเติบโตได้อย่างมีคุณภาพไม่มีปัญหาเรื่องเพศ